ไฮไลท์: มูร่า โขกพา สเปอร์ส บุกเจ๊า แมนฯซิตี้ 2-2, มีดราม่า VAR ช่วงทดเจ็บ
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ (นัดที่สอง)
วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม 2562
ผล: แมนฯซิตี้ 2-2 สเปอร์ส (HT: 2-1, FT:2-2)
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เก็บสามคะแนนได้จากเกมแรกที่บุกไปเยือน เวสต์แฮม และนั่นยังเป็นการชนะด้วยสกอร์ถึง 5-0 เลยทีเดียว โดยเกมนี้จะได้กลับมาเล่นใน เอติฮัด สเตเดียม รับมือ สเปอร์ส ที่ชนะมาในเกมแรกเช่นกัน จากการเปิดบ้านอัด นอริช 3-0
แต่สำหรับเกมนี้เป็นทางเจ้าบ้านที่ได้ครองบ้านและเดินหน้าบุกมากกว่า ส่วนทางด้านทีมเยือนก็หาโอกาสโต้กลับและลูกเซ็ตพีชจนทำให้เกมนั้นจบลงด้วยสกอร์ 2-2 ที่ทาง ไก่เดือยทอง ได้ ลูคัส มูร่า ลงมาเป็นซูเปอร์ซับซัดประตูตีเสมอแรกได้ตั้งแต่สัมผัสแรกใช้เวลาไป 27 วินาที
Can these two play each other every week?
Man City thought they've won it in stoppage time but VAR calls back Gabriel Jesus' goal for a handball on the assist. Incredible. pic.twitter.com/PjzkKos6ZV
— FOX Soccer (@FOXSoccer) August 17, 2019
แถมยังมีจังหวะสำคัญช่วงท้ายเกมที่ ซิตี้ เกือบได้ประตูขึ้นนำ 3-2 แต่ทว่ากลับถูกผู้ตัดสินจับเช็ก VAR ก่อนจะเห็นว่าเกิดการแฮนด์บอลขึ้นก่อนและกลับคำตัดสินให้เป็นสกอร์ 2-2 ดังเดิม
เราไปดูเหตุการณ์ทั้งหมดในเกมนี้กันได้เลย…
เริ่มเกมมาช่วง 15 นาทีแรก เป็นทางเจ้าบ้านที่ครองบอลได้มากกว่าถึง 85.7% ส่วนทางด้านผู้มาเยือนได้เพียง 14.3% เพียงเท่านั้น โดย เรือใบสีฟ้า พยายามใช้เกมบุกโต้กลับเล่นงาน แต่ยังไม่ได้ประตูขึ้นนำ
GOAL ! นาทีที่ 20 แมนฯ ซิตี้ ได้ประตูออกนำ 1-0 จาก ราฮีม สเตอร์ลิ่ง โดยเป็นการเซ็ตเกมขึ้นมาจากแดนหลัง ก่อนบอลจะมาถึง แบร์นาโด้ ซิลบา และไหลให้ เควิน เดอ บรอยน์ เปิดโค้งจากกราบขวาไปที่เสาสองและเป็น สเตอร์ลิ่ง ที่วิ่งมาโขกย้อนตัว ยอริส เข้าไปตุงตาข่าย
GOAL ! นาทีที่ 23 แมนฯ ซิตี้ ออกนำได้ไม่ทันไร ไก่เดือยทอง ก็ตามตีเสมอได้สำเร็จ จากจังหวะที่ เอ็นดอมเบเล ส่งบอลให้ ลาเมล่า ก่อนจะแต่งด้วยเข้าเท้าซ้ายและซัดผ่านมือ เอแดร์ซอน เข้าไปเป็น 1-1
GOAL ! นาทีที่ 35 มีเพิ่มอีกหนึ่งประตูเป็นของเจ้าบ้าน โดยมาจากจังหวะที่ เดอ บรอยน์ ได้เปิดบอลเลียดเข้ากรอบเขตโทษให้ อเกวโร่ กุน สะกิดเข้าประตูไปเป็น 2-1 และจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์นี้
นาทีที่ 42 เรือใบสีฟ้า เกือบบวกประตูเพิ่มอีกหนึ่งลูก จากจังหวะที่ เดอ บรอยน์ คนเดิมได้เปิดบอลเลียดจากกราบขวาหักเข้ากรอบเขตโทษให้ กุนโดกัน ได้แปโล่ง ๆ แต่บอลหลุดกรอบออกไปอย่างน่าเสียดาย และจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์ 2-1
ผ่านครึ่งหลังมา 5 นาที เป็นทางด้าน ซิตี้ พยายามเดินหน้าบุกเพื่อหาประตูที่สาม แต่ทว่ายังยิงไปติดเซฟของ ยอริส อยู่หลายจังหวะด้วยกัน
GOAL ! นาทีที่ 56 เป็นทางด้านทีมเยือนมาตามตีเสมอได้อีกครั้งจากลูกเตะมุมเป็น ลาเมล่า ที่เปิดเข้ามาจากกราบขวาและสัมผัสแรกของ ลูคัส มูร่า ก็เป็นประตูทันที หลังถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทน แฮร์รี่ วิงค์ส โดย มูร่า ที่ชิงจังหวะโหม่งผ่านมือ เอแดร์ซอน เข้าไปเป็น 2-2
นาทีที่ 60 เจ้าบ้านได้โอกาสเตะมุมเข้ามาทางกราบซ้ายเป็น โอตาเมนดี้ ที่ได้ขึ้นโหม่งแต่โดนบอลไม่ดีนักและมาเข้าทาง แบร์นาโด้ ที่ใช้เท้าซ้ายสะกิดบอลโด่งไปชนคาน ก่อนจะกระเด้งไปเข้าหัว โอตาเมนดี้ ได้โหม่งจ่อ ๆ อีกครั้ง แต่ ยอริส ยังเซฟไว้ได้หวุดหวิด
เกมเดินทางมาถึงช่วงท้าย หากดูจากสถิติ ซิตี้ สร้างสรรค์โอกาสได้อย่างยอดเยี่ยม โดยได้โอกาสยิงไปถึงรวมทั้งหมด 30 ครั้ง ได้ 2 ประตู(ตรงกรอบ 10 หลุดกรอบ 8 ติดบล็อก 12) แต่เมื่อดูตัวเลขของ สเปอร์ส มีโอกาสเพียงแค่ 3 ครั้ง ได้เป็น 2 ประตูเช่นกัน
An action-packed encounter…
🔵 2-2 ⚪️ #MCITOT #mancity pic.twitter.com/fjkQIhzPTN
— Manchester City (@ManCity) August 17, 2019
GOAL ! นาทีที่ 90+2 ในที่สุดเต็งแชมป์ พรีเมียร์ลีก ก็มาได้ประตูขึ้นนำจนได้จากจังหวะเตะมุมกราบขวาเข้ามาโดย เดอ บรอยน์ และ ลาปอร์กต์ เช็ดต่อให้ กาเบรียล เฆซุส ที่ถูกเปลี่ยนลงมาแทน ซัดเข้าประตูไปเป็น 3-2
แต่เหตุการณ์ยังไม่จบเพียงเท่านั้น เมื่อผู้ตัดสิน ไมเคิล โอลิเวอร์ ขอเรียกดูภาพจาก VAR จึงทำให้เห็นว่าจังหวะนี้เกิดการแฮนด์บอลลาปอร์กต์ ก่อนที่ เฆซุส จะยิงเข้าประตูไป ดังนั้นจึงกลับคำตัดสินเป็น 2-2 ตามเดิม โดยหากดูผ่าน ๆ
จังหวะนี้บอลเหมือนจะโดนศีรษะของ ลาปอร์กต์ แต่ผู้ตัดสินทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมและตัดสินได้อย่างถูกต้อง ทำให้หมดเวลา 90 นาทีเกมจบลงด้วยผลเสมอ 2-2 แบ่งแต้มกันไป
รายชื่อผู้เล่นของทั้ง 2 ทีม
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : เอแดร์ซอน, วอล์คเกอร์, โอตาเมนดี้, ลาปอร์กต์, ซินเชนโก้, โรดริโก้, กุนโดกัน, เดอ บรอยน์, สเตอร์ลิ่ง, แบร์นาโด้, อเกวโร่
ตัวสำรอง : บราโว่, เชซุส, ซิลบา, แฟร์นันดินโญ, มาห์เรซ, คันเซโล่, โฟเด้น
ท็อตเนม ฮอตสเปอร์ : ยอริส, วอล์คเกอร์-ปีเตอร์ส, อัลเดอร์ไวเรลด์, ซานเชซ, โรส, วิงค์ส, ซิสโซโก้, เอ็นดอมเบเล, เอริคเซน, ลาเมล่า, เคน
ตัวสำรอง : กาซซานิก้า, แฟร์ตองเก้น, เดวีส์, ดายเออร์, สคิปป์, โล เซลโซ, ลูคัส
ภาพจาก: Twitter Premier League