ข่าวต่างประเทศ

สื่อเกาหลีตีข่าว แก๊งสแกมเมอร์กัมพูชา ย้ายฐานมาไทยแล้ว ล่อคนเกาหลีทำงาน

สื่อเจ้าดังของเกาหลีใต้ออกโรงแฉ แก๊งสแกมเมอร์กัมพูชา กำลังย้ายฐานเข้าสู่ประเทศไทย พบพยายามล่อคนเกาหลีใต้ไปทำงาน แลกรายได้หลักล้าน

สำนักข่าว Sisa Journal ได้รายงานสถานการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับองค์กรอาชญากรรมสแกมเมอร์ (Scammer) ว่ากำลังมีเบาะแสชัดเจนว่าพวกเขาได้ย้ายฐานปฏิบัติการจากกัมพูชาเข้ามายังประเทศไทย หลังจากตำรวจเกาหลีใต้เริ่มร่วมมือกับตำรวจกัมพูชาในการกวาดล้างผู้เสียหายชาวเกาหลีอย่างหนัก

สำนักข่าวได้ติดต่อกับ นาย A ผู้จัดการระดับกลางชาวจีนที่ดูแลและควบคุมองค์กรสแกมเมอร์ในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 17-21 ตุลาคมที่ผ่านมา เขาเปิดเผยว่า “ผมจะบอกแบบนี้ครับ ผมเป็นผู้จัดการและทำธุรกิจนี้มา 3 ปีแล้ว และดูเหมือนว่างานนี้จะยังไม่จบง่ายๆ ผมคิดว่ามันจะยังคงไปได้ดีอย่างต่อเนื่องอีกประมาณ 2-3 ปี”

นาย A เล่าถึงขั้นตอนการเดินทางเข้าประเทศไทย โดยเน้นย้ำว่าผู้ที่จะเข้าทำงานในองค์กรสแกมเมอร์จะต้องไม่มีประวัติการเข้า-ออกประเทศพม่า, ลาว, และกัมพูชา เพราะหากมีประวัติเดินทางไปประเทศเหล่านี้ จะตกเป็นเป้าหมายในการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง

เขาแนะนำว่า ผู้สมัครควรจองตั๋วเครื่องบินด้วยตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกสงสัย เนื่องจากหากนาย A (ซึ่งเป็นคนสัญชาติจีน) เป็นคนจองให้ อาจมีรหัสตั๋วที่ระบุเป็นภาษาจีน ซึ่งจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดและถูกตรวจสอบได้

กลุ่มเป้าหมายที่องค์กรสแกมเมอร์ต้องการรับสมัครเป็นคนเก็บเงิน (Collector) และคนถอนเงิน (Withdrawal Agent) คือ คนหนุ่มสาวชาวเกาหลีใต้ในช่วงวัย 20-30 ปี เป็นหลัก โดยเขาให้เหตุผลว่าไม่ชอบคนวัย 40 ปีขึ้นไป เพราะ “ความสามารถในการพูดมีไม่มากพอที่จะทำอาชญากรรม Voice Phishing ได้”

นาย A เสนอรายได้ที่สูงมาก โดยระบุว่าจ่ายเป็นรายสัปดาห์และสามารถสร้างรายได้สูงถึง 10-15 ล้านวอน (ประมาณ 260,000 ถึง 390,000 บาท) ต่อสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับความสามารถ

แม้จะเป็นองค์กรอาชญากรรม แต่ก็มีกฎที่เข้มงวดคือ ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ในวันธรรมดา และ ห้ามใช้ยาเสพติด เหตุผลคือเพื่อหลีกเลี่ยงการก่อปัญหาที่อาจนำไปสู่การติดต่อกับตำรวจ ซึ่งจะทำให้ที่ตั้งขององค์กรสแกมเมอร์ถูกเปิดเผย

นอกจากนี้ยังห้ามแบ่งปันข้อมูลส่วนตัวระหว่างสมาชิกในองค์กร เพื่อความปลอดภัยของทุกคน

นาย A ยังขอเอกสารสามอย่างจากผู้สมัคร ได้แก่ ประวัติการทำประกันสุขภาพ, ประวัติอาชญากรรม, และรูปถ่ายหน้าพาสปอร์ต โดยให้เหตุผลว่า “ถ้ามีประวัติการขโมย เราก็ต้องสงสัยคนนั้นก่อน” และเสริมว่า “กรณีของอาชญากรข่มขืน หากดื่มเหล้าแล้วไปบังคับมีเพศสัมพันธ์กับใคร ก็จะถูกตำรวจเรียกไปสอบสวน ซึ่งทำให้ที่ตั้งของออฟฟิศตกอยู่ในความเสี่ยง”

ในขณะที่ตำรวจเกาหลีใต้กำลังร่วมมือกับกัมพูชาในการช่วยเหลือเหยื่อชาวเกาหลีอย่างเต็มกำลัง องค์กรสแกมเมอร์กลับกำลังย้ายฐานหนีเข้ามายังประเทศไทย ซึ่งนาย A ยอมรับว่ามีคนเกาหลีใต้ที่ทำงานอยู่ในองค์กรของเขาในประเทศไทยแล้วถึง 12 คน

อ้างอิง : www.sisajournal.com

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

Bas

ผู้สื่อข่าวกีฬา จบการศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มีประสบการณ์เขียนข่าวกีฬากับ SMMSport กว่า 10 ปี เริ่มทำงานกับ Thaiger เมื่อ 2021 ชอบและติดตามกีฬามาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะฟุตบอลทั้งบอลไทย และต่างประเทศ 5 ลีกดังของโลก พร้อมอัปเดตข่าวสารวงการฟุตบอล แบบเข้าใจง่าย ให้เพื่อนๆและแฟนบอลได้ติดตามกันทุกวัน ช่องทางติดต่อ saral@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button