
เสียงสะท้อนร้านค้า ทำไม คนละครึ่งพลัส อาจไปไม่ถึงทุกครัวเรือน เมื่อบางร้านค้า ไม่อยากเสียภาษี
ขณะที่รัฐบาลเดินหน้าเต็มที่กับโครงการ “คนละครึ่งพลัส” หวังกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน ฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก ด้วยการอัดเงินอุดหนุน 2,000 บาท ให้คนไม่อยู่ในระบบภาษี และ 2,400 บาท ให้คนที่เสียภาษี แต่เบื้องหลังความพยายามนี้ กลับมีเสียงสะท้อนจากกลุ่มผู้ประกอบการร้านค้าบางส่วนกำลังลังเลใจ และอาจเลือกที่จะไม่เข้าร่วม โครงการนี้ด้วยเหตุผลสำคัญคือ “ไม่อยากเข้าสู่ระบบภาษี” เพราะกลัวจ่ายภาษีแพง โดนเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง
โครงการคนละครึ่งพลัส ซึ่งเชิญชวนร้านค้าเข้าร่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มร้านค้ารายเล็ก หาบเร่แผงลอย และวิสาหกิจชุมชน ที่เดิมอาจอยู่นอกระบบภาษี เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้อย่างครอบคลุม
แม้ว่าในการแถลงกข่าว ทางรัฐบาลยืนยันว่า การจ่ายเงินอยู่ในระบบปิด ไม่นำส่องข้อมูลให้กรรมสรรพากร แต่ในทางปฏิบัติจริง การเข้ามาอยู่ในระบบของรัฐผ่านแอปฯ ถุงเงิน ก็เปรียบเสมือนการเปิดประตูให้ข้อมูลรายรับของร้านค้าปรากฏต่อหน่วยงานรัฐ ทำให้เกิดความกังวลว่าอาจนำไปสู่การตรวจสอบภาษีย้อนหลัง หรือต้องแบกรับภาระภาษีที่ไม่เคยจ่ายมาก่อน
ทำไมร้านค้าถึงกังวลเรื่องภาษี?
ผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มหาบเร่แผงลอย ไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องระบบภาษีที่ถูกต้อง ไม่เคยยื่นแบบภาษีมาก่อน การต้องเข้าสู่ระบบยื่นภาษีจึงเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ซับซ้อน และน่ากังวลสำหรับพวกเขา เพราะไม่รู้วิธีทำบัญชีรายรับรายจ่ายที่ถูกต้อง
หลายร้านค้ามีกำไรไม่มากนัก การต้องแบ่งปันรายได้ส่วนหนึ่งไปจ่ายภาษี อาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องและรายได้สุทธิที่ได้รับ รวมถึงการทำบัญชีก็ต้องคิดเป็นต้นทุนด้านเวลาและทรัพยากรที่ต้องเสียเพิ่มขึ้น
ประกอบการบางส่วนยังคงมีความกังวลว่า การเปิดเผยข้อมูลรายรับผ่านระบบของรัฐ อาจนำไปสู่การตรวจสอบย้อนหลังในอดีตที่ไม่ได้ยื่นภาษี โดนเรียกเก็บภาษีในอัตราเหมาพร้อมเบี้ยปรับสูง ทำให้เกิดความหวาดระแวงและเลือกที่จะอยู่ “นอกระบบ” ต่อไป
แม้รัฐจะมีมาตรการยกเว้นภาษีสำหรับผู้มีรายได้น้อย หรือมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนด แต่การที่ข้อมูลรายรับไหลเข้าสู่ระบบอย่างเป็นทางการ ก็ทำให้ร้านค้าเหล่านี้รู้สึกว่าความอิสระทางภาษีที่เคยมีกำลังจะหมดไป เมื่อยื่นแบบภาษีแล้ว ก็ต้องยื่นแบบไปต่อทุกๆ ปี
หากร้านค้ากลุ่มนี้จำนวนมากเลือกที่จะไม่เข้าร่วมโครงการ ย่อมส่งผลกระทบต่อความครอบคลุมของ “คนละครึ่งพลัส” ทำให้ประชาชนผู้ใช้สิทธิ อาจมีทางเลือกในการใช้จ่ายที่จำกัดลง โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท หรือในชุมชนที่พึ่งพิงร้านค้ารายย่อยเป็นหลัก
โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลคือ การสร้างความเข้าใจและความไว้วางใจให้กับผู้ประกอบการกลุ่มนี้ โดยอาจจะต้องมีมาตรการที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องภาษีสำหรับร้านค้ารายย่อยที่เข้าร่วมโครงการ เช่น การประกาศยกเว้นภาษีสำหรับรายได้ที่ไม่ถึงเกณฑ์อย่างเป็นทางการและโปร่งใส หรือมีแนวทางการให้ความรู้และช่วยเหลือเรื่องการยื่นภาษีที่ไม่ซับซ้อน เพื่อลดความกังวลและกระตุ้นให้ร้านค้ากลุ่มนี้กล้าที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศอย่างเต็มตัว
แนะร้านค้า เข้าร่วมคนละครึ่งพลัสแบบสบายใจ ทำยังไงไม่โดนเรียกเก็บภาษีเกินจริง
1. แยกบัญชีรายรับให้ชัดเจน ไม่ปะปนกับรายได้ส่วนตัว
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดของผู้ประกอบการรายย่อยคือ นำเงินรายรับจากกิจการไปรวมกับเงินส่วนตัวในบัญชีเดียวกัน ทำให้ยากต่อการแยกแยะว่าส่วนใดคือรายได้ของร้านค้าที่ต้องเสียภาษี ส่วนใดคือเงินส่วนตัวที่อาจไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
ให้เป็นบัญชีสำหรับกิจการโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นบัญชีเงินฝากกระแสรายวันหรือออมทรัพย์ เพื่อรับรายได้ทั้งหมดที่เกิดจากการค้าขาย รวมถึงเงินที่ได้รับจากการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัสด้วย
จัดทำบันทึกรายรับ-รายจ่ายอย่างง่ายๆ ทุกวัน โดยระบุวันที่ รายการ และจำนวนเงินที่ได้รับจากช่องทางต่างๆ เช่น เงินสด เงินโอน หรือผ่านแอปฯ ถุงเงินของคนละครึ่งพลัส
ประโยชน์ของการแยกบัญชีอย่างชัดเจนจะทำให้เห็นภาพรวมของรายได้กิจการที่แท้จริง ไม่ปนกับเงินส่วนตัว และช่วยให้การคำนวณภาษีเป็นไปอย่างถูกต้อง ไม่มีการรวมรายได้ที่ไม่ใช่ของกิจการเข้าไป ทำให้ไม่ถูกประเมินภาษีสูงเกินจริง
ลงทะเบียน “คนละครึ่งพลัส” ต้องใช้ครั้งแรกเมื่อไหร่ ไม่ให้โดนตัดสิทธิ
2. เก็บหลักฐานต้นทุนทั้งหมด เพื่อใช้หักค่าใช้จ่ายตามจริง
ร้านค้าที่มีรายได้สูง ให้เก็บหลักฐานต้นทุนไว้ทั้งหมด เพื่อช่วยลดภาระภาษี เพราะหากไม่มีหลักฐานการหักค่าใช้จ่ายตามจริง กรมสรรพากรอาจจะใช้วิธี “เหมาจ่าย” โดยกำหนดให้หักค่าใช้จ่ายได้เพียง 60% ของรายได้ ซึ่งในความเป็นจริงต้นทุนของร้านค้าอาจสูงกว่านั้นมาก
สิ่งที่ควรทำ รวบรวมใบเสร็จ/บิลซื้อของ เก็บใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี หรือหลักฐานการซื้อวัตถุดิบ สินค้า ค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแรงลูกจ้าง หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการทั้งหมดอย่างเป็นระบบ จัดเรียงเอกสารตามวันที่หรือประเภทค่าใช้จ่าย เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาเมื่อถึงเวลายื่นภา
การมีหลักฐานต้นทุนที่ชัดเจน จะช่วยให้ร้านค้าสามารถยื่นหักค่าใช้จ่ายตามจริงได้ ซึ่งอาจสูงกว่า 60% ของรายได้ ทำให้กำไรสุทธิลดลง และภาระภาษีที่ต้องชำระก็ลดลงตามไปด้วย
สรุปแล้ว ร้านค้าอย่าเพิ่งไปกลัว การเข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเพิ่มยอดขาย แต่ต้องทำควบคู่กับการบริหารจัดการภาษี ทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายอย่างเป็นระบบ เก็บหลักฐานต้นทุนอย่างครบถ้วน จะช่วยให้ร้านค้ามีความมั่นใจในการยื่นภาษี ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเรียกเก็บภาษีเกินจริง สามารถใช้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลได้อย่างเต็มที่
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เปิดขั้นตอนสมัคร “G-Wallet” บนแอปฯ เป๋าตัง เตรียมรับสิทธิ “คนละครึ่งพลัส”
- วิธีสมัครร้านค้า “คนละครึ่งพลัส” เริ่ม 15 ต.ค. เช็กเงื่อนไข-เอกสารที่ต้องใช้
- เช็กด่วน มือถือ iOS-Android รุ่นเก่า อดใช้ “คนละครึ่งพลัส” แม้ลงทะเบียนผ่าน
ติดตาม The Thaiger บน Google News: