ข่าวต่างประเทศ

ปลาเค็ม เสี่ยงมะเร็งอันดับ 1 เตือน คนไทยชอบกินประจำ หมอแนะวิธีกินให้ปลอดภัย

WHO จัด “ปลาเค็ม” เป็นสารก่อมะเร็ง เทียบเท่ายาสูบและแร่หิน เสี่ยงมะเร็งโพรงจมูกสูง แพทย์แนะวิธีกินให้ปลอดภัย

“ปลาเค็ม” อาหารคุ้นเคยที่อยู่คู่ครัวไทยและอีกหลายชาติในเอเชียมาอย่างยาวนาน ได้ถูกจัดให้เป็น “สารก่อมะเร็งกลุ่ม 1” ซึ่งเป็นระดับความเสี่ยงสูงสุด โดย สำนักงานวิจัยมะเร็งนานาชาติ (IARC) ในสังกัดองค์การอนามัยโลก (WHO) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 เทียบเท่ากับสารอันตรายที่รู้จักกันดีอย่างยาสูบและแร่ใยหิน

เรื่องราวนี้กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งจากกรณีของคุณโจว ชายชาวจีนวัย 48 ปี ที่ตกใจอย่างมากเมื่อลูกชายส่งข้อความมาเตือนว่า ปลาเค็มที่เขาโปรดปรานมาทั้งชีวิต อาจเป็นนักฆ่าเงียบที่ซ่อนตัวอยู่บนโต๊ะอาหาร

ทำไมปลาเค็มถึงเป็นสารก่อมะเร็ง

ความเสี่ยงหลักไม่ได้มาจากตัวปลา แต่มาจากกระบวนการหมักเกลือและการถนอมอาหาร ซึ่งทำให้เกิดสารอันตรายขึ้น

  • สารไนโตรซามีน (N-nitrosamines) ในระหว่างการหมัก แบคทีเรียจะสร้างสาร “ไนไตรท์” ซึ่งเมื่อทำปฏิกิริยากับโปรตีนในเนื้อปลา จะเปลี่ยนเป็น “ไนโตรซามีน” ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่ได้รับการยืนยันแล้ว โดยงานวิจัยพบว่าในพื้นที่ที่บริโภคปลาเค็มเป็นประจำ มีอัตราการเกิด มะเร็งโพรงจมูก สูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 5-10 เท่า
  • ปริมาณเกลือสูง ปลาเค็มมีโซเดียมสูงมาก เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงและโรคหลอดเลือดสมอง
  • สารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) หากเก็บรักษาปลาเค็มไม่ดี อาจเกิดเชื้อราที่สร้างสารพิษ “อะฟลาทอกซิน” ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของ มะเร็งตับ
ปลาเค็มทอดที่จัดวางในจานพร้อมรับประทาน
ภาพจาก: soha

กินปลาเค็มอย่างไรให้ปลอดภัย

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญไม่ได้ห้ามทานปลาเค็ม แต่แนะนำว่าหากจะรับประทาน ควรยึดหลักการสำคัญเพื่อลดความเสี่ยง ดังนี้

1. กินแต่น้อยและปรุงให้ถูกวิธี

ควรจำกัดการบริโภค ไม่เกินเดือนละ 1-2 ครั้ง และกินในปริมาณน้อย ที่สำคัญคือควร หลีกเลี่ยงการทอดด้วยไฟแรง ซึ่งจะยิ่งเพิ่มสารอันตราย และเปลี่ยนมาใช้ วิธีนึ่ง เพื่อลดปริมาณเกลือและสารพิษ นอกจากนี้ ควรทานคู่กับผักผลไม้สดที่มีวิตามินซีสูง เช่น มะเขือเทศ หรือบรอกโคลี เพราะวิตามินซีจะช่วยยับยั้งการสร้างสารไนโตรซามีนในร่างกาย

2. เลือกซื้อและเก็บรักษาอย่างถูกต้อง

ควรเลือกซื้อปลาเค็มจากแหล่งผลิตที่น่าเชื่อถือ สะอาด และเก็บรักษาในที่แห้งและโปร่ง หากพบว่ามีกลิ่นผิดปกติหรือมีราขึ้น ต้องทิ้งทันทีอย่าเสียดาย โดยเฉพาะ ผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ และผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งโพรงจมูก ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานจะปลอดภัยที่สุด

ที่มา: soha

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

Suriyen J.

นักเขียนบทความข่าว จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สาขาปรัชญาและศาสนา มีประสบการณ์กับสำนักข่าวระดับประเทศ ชื่นชอบด้านสังคม การเมือง ต่างประเทศ ทำให้สามารถสร้างคุณค่าผ่านงานเขียน เพื่อให้ผู้อ่านได้ประโยชน์ครบทุกมิติ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button