กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ร่วมกับตำรวจสหพันธรัฐออสเตรเลีย (AFP) แถลงผลปฏิบัติการ Firestorm ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติที่ตั้งฐานในประเทศไทย จับกุมชาวต่างชาติ 13 ราย เป็นชาวออสเตรเลีย 5 ราย, บริติช 6 ราย, แคนาดา 1 ราย และแอฟริกาใต้ 1 ราย พร้อมของกลางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเอกสารรวม 58 รายการ มูลค่าความเสียหายกว่า 40 ล้านบาท ผู้เสียหายเป็นชาวออสเตรเลียกว่า 14,000 ราย
พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการ บช.ก. เปิดเผยว่า AFP ได้สืบสวนพบกลุ่มบุคคลดังกล่าวหลอกลวงชาวออสเตรเลียให้ร่วมลงทุนพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนสูง และย้ายฐานมาตั้ง Boiler room (คอลเซ็นเตอร์) ในประเทศไทยเพื่อดำเนินการดังกล่าว แก๊งนี้ดำเนินการมา 20 ปี และเคยถูกจับกุมที่อินโดนีเซียก่อนหัวหน้าแก๊งจะหลบหนีมาไทย
เจ้าหน้าที่พบว่ากลุ่มผู้ต้องหาเข้ามาพัทยาตั้งแต่ต้นปี 2567 ก่อนย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ และใช้บ้านเช่าในซอยตันที่บางพลีใหญ่ สมุทรปราการ เป็นฐานปฏิบัติการ บ้านหลังนี้มีมูลค่า 70 ล้านบาท หรือให้เช่าเดือนละ 120,000 บาท มีการรักษาความปลอดภัยแน่นหนาและมีการเปิด-ปิดม่านบังสายตาผู้เข้าออก
จากการเฝ้าสังเกตการณ์พบว่ามีการเข้าออกบ้านในช่วงเวลา 05.00 น. และ 15.30 น. ซึ่งตรงกับเวลาทำงานที่ซิดนีย์ หลังจากศาลออกหมายค้น เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2568 พบชาวต่างชาตินั่งโทรศัพท์ชักชวนลูกค้าคล้ายสำนักงาน มีคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือ สคริปต์การพูดคุย และเอกสารข้อมูลบริษัทปลอม
ภายในคอมพิวเตอร์พบรายชื่อชาวออสเตรเลียกว่า 14,000 ราย ที่ AFP กำลังตรวจสอบและยืนยันว่าบางส่วนถูกหลอกลวงจริง เบื้องต้นพบความเสียหายมากกว่า 2 ล้านเหรียญออสเตรเลีย หรือกว่า 40 ล้านบาท
จากการตรวจสอบข้อมูลการเดินทางของกลุ่มผู้ต้องหา พบว่าทั้งหมดไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในประเทศไทย ทั้งหมดให้การปฏิเสธในเบื้องต้น และอ้างว่ามีเพื่อนชักชวนให้มาทำงานที่นี่ โดยได้รับค่าตอบแทนประมาณ 3,000 เหรียญออสเตรเลีย และค่าคอมมิชชั่น 2.5% มีหน้าที่โทรชวนลูกค้าลงทุนตามรายชื่อที่บริษัทให้มา หัวหน้าแก๊งคือ Mr.Mark Dennis (ชาวออสเตรเลีย 54 ปี) และ Mr.Mark Andrew Howship (ชาวบริติช 56 ปี)
พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รองผู้บังคับการ ตม.3 กล่าวว่า ผู้ต้องหาทั้ง 13 รายยังไม่โอเวอร์สเตย์ แต่จะถูกเพิกถอนวีซ่าและขึ้นบัญชีดำห้ามกลับเข้าประเทศอีก ด้าน Ms.Kristie-Lee Cressy เจ้าหน้าที่อาวุโส AFP กล่าวว่า ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ผู้เสียหายในออสเตรเลียมีมูลค่าความเสียหายกว่า 4.45 พันล้านเหรียญออสเตรเลีย โดยมีการฟอกเงินผ่านสกุลเงินดิจิทัล
ที่มา: ตำรวจสอบสวนกลาง
ติดตาม The Thaiger บน Google News:
ข่าวล่าสุด
