สนธิ ประกาศกร้าว เดินสุดซอยเรื่องทนายตั้ม ถ้าไม่ทำ ขอให้มีอันเป็นไป
สนธิ ประกาศกร้าว เดินสุดซอยเรื่องทนายตั้ม ถ้าไม่ทำ ขอให้มีอันเป็นไป ย้ำนี่คือนรกแตก เตรียมยื่น ทนายตั้ม-ทนายเดชา ผิดมรรยาททนายความ
นาย สนธิ ลิ้มทองกุล ที่ก่อนหน้านี้ได้โพสต์ข้อความเฟซบุ๊กแง้มว่าวันนี้จะเล่าเรื่องระดับนรกแตก ในรายการ สนธิเล่าเรื่อง ซึ่งหลายคนรอฟังว่านายสนธิจะพูดอะไรเกี่ยวกับ ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด อีกหรือไม่นั้น
โดยในวันนี้นายสนธิ กล่าวว่า สรุปแล้วคดีทนายตั้มตอนนี้ดำเนินการไปมากเชื่อว่ากว่า 90% แล้ว อีกไม่นานพี่อ้อยกลับไปฝรั่งเศส ตำรวจคงสรุปสำนวนได้เรียบร้อยแล้ว เมื่อสรุปสำนวนเรียบร้อยแล้วก็คงส่งไปให้อัยการพิจารณา ตนเชื่อว่าด้วยสำนวนของตำรวจสอบสวนกลาง และหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์พิสูจน์ชัดเจนทุกอย่างแล้ว
พร้อมกล่าวชื่นชมและยกย่องเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปราม งานนี้ถ้าไม่มีกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเอาทนายตั้มไม่อยู่ เพราะต้องใช้ตำรวจ 100 กว่าคนทำคดีนี้ ในการแยกย้ายไปหาข้อมูลหลักฐาน และนำมาประกอบความจริง เป็นมูลค่าการฉ้อโกง 120 กว่าล้านบาท
ที่ผ่านมาทนายตั้มโกงทุกเม็ด ขนาดซื้อรถยังโกงส่วนต่าง แอบติดตั้งสัญญาณจีพีเอส โดยมีประวัติการเข้าล็อกอินเข้าดูจีพีเอสของรถ ซึ่งล่าสุดเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาภรรยาของทนายตั้มยังเข้าไปดูว่ารถเดินทางไปไหน ทำให้พี่อ้อยและพี่น้อยมานึกย้อนดูแล้วก็ขนลุก และระหว่างที่ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมฉบับที่ 2 ได้มีการชักชวนพี่อ้อยไปเที่ยวแพชื่อดังในเขื่อนรัชชประภา อ้างว่าจะพาไปรู้จักตำรวจใหญ่คนหนึ่งที่เป็นคนใต้ เหมือนกับที่อ้างไปฮ่องกง แต่พี่อ้อยบอกว่าลำบาก ไม่อยากรู้จักกับนักการเมือง ถือว่าบุญกุศลที่พี่อ้อยทำมา
เพราะพินัยกรรมฉบับที่ 2 มีปริศนา และมีข้อพิรุธอีกหลายอย่าง โดยทนายตั้มไม่ยอมให้เอาต้นฉบับมาเก็บไว้ที่พี่อ้อย หลังจากที่มีการพินัยกรรมฉบับที่ 3 โดยอ้างว่าเพิกถอน และทำลายพินัยกรรมฉบับก่อนหน้านี้ไปหมดแล้ว พร้อมกันนี้พี่อ้อยยืนยันว่าในพินัยกรรมฉบับที่ 2 เดิมทีเนื้อหาไม่ได้มีรายละเอียดให้ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก เป็นการใส่เอง และไม่ได้ให้คู่สัญญาลงในลงรายละเอียดในทุกหน้ากระดาษ โดยให้ลงนามเฉพาะหน้าสุดท้ายเท่านั้น เพราะฉะนั้นพินัยกรรมฉบับที่ 2 ถือเป็นพินัยกรรมปลอมที่ไม่ได้รับการยอมรับจากผู้ทำพินัยกรรม ซึ่งเชื่อว่าต้องมีพินัยกรรมอีกหนึ่งฉบับที่ถูกซุกซ่อนไว้อีก และรอการเปิดเผย หากเกิดอะไรขึ้นกับพี่อ้อย
ด้วยเหตุนี้ต้นปี 67 เมื่อรู้ความไม่ชอบมาพากลทั้งหมดจึงได้ยกเลิกพินัยกรรมที่ทนายตั้มดำเนินการทุกฉบับ และไปทำพินัยกรรมใหม่ฉบับที่ 3 โดยพี่อ้อยจัดทำที่อำเภอ มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามารับรอง เพื่อไม่ให้พินัยกรรมฉบับเก่าไม่สามารถมีผลผูกพันได้อีกต่อไป
ทั้งนี้ตนขอเตือนทนายสายหยุด และทนายเดชา ที่ยืนข้างนายษิทธา ว่าทั้งหมดนี้เป็นขบวนการวางแผนฉ้อโกง และสร้างหลักฐาน เผื่อต้องสู้คดีล่วงหน้า ซึ่งประเด็นคดีทนายตั้มกำลังเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่เป็นบทเรียนในวิชานิติศาสตร์ต่อไปในอนาคต เพราะเป็นคดีของผู้ที่มีความรู้ด้านกฎหมายใช้ความรู้ด้านกฎหมายไปฉ้อโกงลูกความที่แทบจะไม่มีความรู้ทางกฎหมายเลย และใช้กฎหมายฉ้อโกงและเตรียมพยานหลักฐานเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อสู้คดีเมื่อถูกจับได้ นี่คือความร้ายกาจและเป็นคำตอบว่าทำไมทนายตั้มถึงโอหังลามปามว่าไม่ผิด เขาชนะคดีแน่ และมาท้าตนให้กินเยี่ยว 71 แก้ว แต่ทนายตั้มประเมินสถานการณ์ต่ำไป
นอกจากนี้เอกสารสัญญาการจ้างทำแอปพลิเคชันสลากออนไลน์ ทางพี่อ้อยและบริษัทผู้รับว่าจ้างไม่เคยเจอกันแม้แต่ครั้งเดียว โดยทนายตั้มทำตัวเป็นคนกลาง เพื่อให้ตัวเองบริหารจัดการทั้งหมด และสัญญาฉบับนี้ให้บริษัทที่รับจ้างลงนามก่อนจากนั้นก็นำไปให้พี่อ้อยลงนาม และสัญญาฉบับนี้ เมื่อทนายตั้มได้ไฟล์มาแล้วก็ปรับแก้หน้าสุดท้ายของสัญญาว่างเอาไว้มากกว่าครึ่งหน้าด้วยการจงใจ และไม่มีลายเซ็น มีพิรุธหลายอย่าง และให้ทั้งผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้างลงนามคนละสัญญาแบบแยกแผ่น จงใจใช้ความเจ้าเล่ห์ หากเป็นทนายความที่ซื่อสัตย์เขาจะขอให้ทั้งสองฝ่ายเซ็นชื่อกำกับทั้งล่างทุกแผ่นเอกสาร แต่นี่คือการเตรียมตัวฉ้อโกง และสัญญาฉบับนี้ไม่มีการคืนต้นฉบับและคู่ฉบับให้กับคู่สัญญา ทนายตั้มเก็บทั้งหมดไว้คนเดียว ซึ่งเอกสารนี้ขึ้นศาลเมื่อไหร่เชื่อว่าน็อกคาศาลแน่
“เมื่อวานตอนสามทุ่ม พี่น้อยโทรศัพท์มาหาผมเรื่องที่ทนายสายหยุดบอกว่าจะดำเนินการคืนเงินให้ ผมเลยบอกไปว่า คนตัดสินใจคือพี่อ้อย เพราะเป็นเงินพี่อ้อย แต่พี่อ้อยพูดกับพี่น้อยว่า เรื่องนี้จะมอบอำนาจให้อาสนธิตัดสินใจแต่คนเดียว ไม่ใช่ทนายเล็ก หรือใครทั้งสิ้น ขอให้อาสนธิบอกมาว่าจะเอาอย่างไร อ้อยทำตามหมด นี่แหละคือนรกแตก ผมเป็นคนนิสัยเสียอย่างหนึ่ง เวลาตอนเข้าซอยแล้ว เมื่อถึงกลางซอย ผมจะไม่ยอมกลับไป เพราะคิดว่าต้องเดินไปให้สุดซอย โดยพี่อ้อยมอบอำนาจเด็ดขาดให้ผมเพียงแต่ผู้เดียวว่าจะเดินสุดซอยหรือจะให้รับเงินคืน เรื่องของทนายตั้ม ถ้าผมเดินไม่สุดซอย ขอให้ผมมีอันเป็นไปโดยเด็ดขาด”
ทั้งนี้นายสนธิกล่าวว่า ตนและนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต จะเดินทางไปที่สภาทนายความ เพื่อยื่นหนังสือโดยตรง กรณีของทนายตั้มและทนายเดชาที่ทำผิดมรรยาททนายความ พรุ่งนี้ 13.30 น.
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง