ธาร์มาน ชานมุการัตนัม อดีตรองนายกฯ ชนะการเลือกตั้งเป็น ปธน.สิงคโปร์คนใหม่
นายธาร์มาน ชานมุการัตนัม อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง วัย 66 ปี ชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย ไปด้วยคะแนนกว่าร้อยละ 70 ได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสิงคโปร์
สำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานความคืบหน้า การเลือกตั้งประธานาธิบดีของประเทศสิงคโปร์ ล่าสุด วันเสาร์ที่ 2 กันยายน 2566 มีรายงานผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ซึ่งมีการลงคะแนนเมื่อวันศุกร์ที่ 1 กันยายน 2566 ผลปรากฏว่า นายธาร์มาน ชานมุการัตนัม อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง วัย 66 ปี ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด 1.7 ล้านคะแนน คิดเป็น 70.4%
ในส่วนของผลการเลือกตั้งอันดับที่สอง ตามมาด้วยนายอึ้ง ก๊ก ซง อดีตประธานกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติสิงคโปร์ วัย 75 ปี ได้รับคะแนนเสียง 390,041 คะแนน คิดเป็น 15.7% และอันดับที่สามคือ นายตัน กิน เหลียน อดีตผู้บริหารระดับสูงของบริษัทประกัน วัย 75 ปี ได้รับคะแนนเสียง 344,292 คะแนน คิดเป็น 13.8%
ทั้งนี้ การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสิงคโปร์ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกในรอบนานกว่า 10 ปีที่มีผู้สมัครมากกว่า 1 คน ซึ่งการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสิงคโปร์จะแตกต่างจากไทยตรงที่มีวาระ 6 ปี และสามารถดำรงตำแหน่งได้นานต่อเนื่องไม่เกินสองสมัย อีกทั้งต้องไม่สังกัดพรรคการเมืองใดทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งประธานาธิบดีในครั้งนี้ถูกมองว่า เป็นการชี้วัดความพึงพอใจของประชาชนต่อพรรคพีเอพี ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปที่จะครบกำหนดในปี 2568 หลังการสอบสวนการทุจริตของรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม และจากประเด็นเรื่องชู้สาวที่ทำให้สมาชิกสภานิติบัญญัติ 2 คนของพรรคพีเอพีลาออก และทำให้นายธาร์มาน ชานมุการัตนัม ตัดสินใจลาออกจากพรรคในที่สุด
นอกจากนี้ จากการที่นายธาร์มาน ชานมุการัตนัม เคยเป็นสมาชิกพรรคพีเอพี ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ทำให้เกิดข้อกังขาถึงความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนปัจจุบันของสิงคโปร์ แต่ถึงกระนั้น บทบาทของนายชานมุการัตส่วนใหญ่ จะเป็นไปในเชิงพิธีการ แต่ก็มีอำนาจสำคัญในการดูแลการใช้เงินสำรองทางการคลังของประเทศ และมีอำนาจในการยับยั้งมาตรการบางอย่างอีกด้วย
ถือเป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ชนะแบบแลนด์สไลด์เลยทีเดียว สำหรับ นายธาร์มาน ชานมุการัตนัม อดีตรองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ที่ชนะการเลือกตั้งและกลายเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสิงคโปร์ ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปที่จะครบกำหนดในปี 2568 หรือในอีกสองปีข้างหน้า
อ้างอิง : 1