เทคโนโลยี

แอมเนสตี้ เตือน พบ ‘สปายแวร์เพกาซัส’ ในมือถือของผู้ชุมนุมประท้วงรัฐบาล

แอมเนสตี้ ประเทศไทย ออกจดหมายเตือนถึงการค้นพบ สปายแวร์เพกาซัส ภายในมือถือ-สมาร์ทโฟนของผู้ที่เข้าร่วมการชุมนุมประท้วงรัฐบาลไทย

(18 ก.ค. 2565) แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าวในวันนี้ว่า ประเทศไทยต้องสอบสวนอย่างรอบด้านต่อการใช้ “สปายแวร์เพกาซัส” ที่ล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว เนื่องจากพบว่ามีสปายแวร์รูปแบบนี้ถูกติดตั้งอยู่ในโทรศัพท์ของนักกิจกรรมหลายสิบคน หลังจากมีการรายงานชิ้นใหม่พบว่าบุคคล 30 คนตกเป็นเป้าหมาย หรือได้รับผลกระทบจากซอฟต์แวร์ที่อันตรายนี้ ซึ่งถือว่าเป็นการยืนยันเป็นครั้งแรกว่ามีการใช้สปายแวร์นี้ในประเทศ จากการวิเคราะห์ในเชิงเทคนิค

Advertisements

รายงานที่จัดทำร่วมกันระหว่างโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) Digital Reach และ Citizen Lab ได้พบการใช้สปายแวร์นี้ตั้งแต่ปี 2563 ถึง 2564 และส่งผลกระทบต่อแกนนำคนสำคัญของการชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปครั้งใหญ่ทางการเมืองและเศรษฐกิจ รวมทั้งนักวิชาการและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนซึ่งได้วิจารณ์รัฐบาลไทยอย่างเปิดเผย

การค้นพบครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากบริษัทแอปเปิลได้ส่งข้อความเตือนนักกิจกรรมชาวไทยจำนวนมากว่า พวกเขาตกเป็นเป้าหมายของสปายแวร์เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 โดยแผนก Security Lab ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล สามารถยืนยันอย่างเป็นอิสระในรายงานนี้ได้ว่า จากการวิเคราะห์ทางนิติเวช มีการพบสปายแวร์นี้ในห้ากรณี

เอเทียน เมเนียร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเผยว่า ปัจจุบันเราได้เพิ่มประเทศไทยเข้าไปในรายชื่อประเทศที่มีการสอดแนมประชาชน ซึ่งจำนวนรายชื่อของประเทศต่างๆ ยังคงมีการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การที่ประชาชนออกมาเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงโดยสงบ แสดงความเห็น และวิจารณ์นโยบายของรัฐบาล อาจส่งผลให้เกิดการสอดแนมที่ล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเสรีภาพด้านการแสดงออก ความเป็นส่วนตัว และความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยของบุคคล

“เราควรระลึกด้วยว่า ข้อมูลเหล่านี้เป็นเพียงข้อค้นพบเบื้องต้น แต่ขอบเขตความพยายามสอดแนมข้อมูลอาจกว้างขวางและส่งผลกระทบรุนแรงมากกว่านี้”

Advertisements

ตามข้อมูลในรายงาน มีการตรวจพบสปายแวร์เพกาซัสในโทรศัพท์ของแกนนำผู้ชุมนุมประท้วงในไทย รวมไปถึงอานนท์ นำภา เบนจา อะปัญ และปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” ซึ่งตกเป็นเป้าหมายการดำเนินคดีอาญาที่ไม่เหมาะสมในหลายข้อหา อันเป็นผลมาจากการใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ

“แทนที่จะรับฟังและร่วมมือกับผู้ชุมนุมประท้วง นักวิชาการ และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนเหล่านี้ พวกเขากลับใช้การสอดแนมที่ล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวเพื่อคุกคาม ข่มขู่ โจมตี และเพื่อทำลายขวัญกำลังใจ รวมไปถึงการสร้างบรรยากาศที่น่าหวาดกลัวในสังคม ข้อค้นพบใหม่ครั้งนี้เป็นตัวอย่างที่น่าตกใจว่า ทางการสามารถใช้วิธีการอันมิชอบมากเพียงใดเพื่อควบคุมการแสดงความเห็นต่างโดยสงบ”

บริษัท NSO Group จากประเทศอิสราเอล บริษัทที่อยู่เบื้องหลังเพกาซัสอ้างว่า พวกเขาขายสินค้าให้กับหน่วยข่าวกรองและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลเท่านั้น

รัฐต่างๆ มีพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่เพียงต้องเคารพสิทธิมนุษยชน หากยังต้องคุ้มครองให้ปลอดพ้นจากการปฏิบัติมิชอบของบุคคลที่สาม รวมทั้งบริษัทเอกชน

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยังคงเรียกร้องให้มีข้อตกลงระดับโลกเพื่อยุติการขาย ส่งมอบ และใช้สปายแวร์ จนกว่าจะมีการกำหนดมาตรการควบคุมและคุ้มครองสิทธิ เพื่อกำกับดูแลการใช้งานของสปายแวร์อย่างเหมาะสม

“ทางการไทยต้องดำเนินการสอบสวนอย่างเป็นอิสระ อย่างทันที รอบด้าน และมีประสิทธิภาพ ต่อการใช้สปายแวร์เพกาซัส และใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อสนับสนุนให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เพื่อสนับสนุนการมีส่วนร่วมของพลเมือง มาตรการเช่นนี้ต้องครอบคลุมถึงการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่สนับสนุนการสอดแนมของรัฐ รวมทั้งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และพระราชบัญญัติข่าวกรองแห่งชาติ ให้มีเนื้อหาสอดคล้องกับกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ รวมทั้งการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันเพื่อคุ้มครองสิทธิความเป็นส่วนตัว และสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ”

 

แหล่งที่มาของข่าว : Amnesty International Thailand

สามารถติดตามข่าวการเมืองเพิ่มเติมได้ที่นี่ : ข่าวการเมือง

 

 

Thaiger deals

N. Siripariyasak

นักเขียนคอนเทนต์ จับประเด็นด้านเศรษฐกิจ-การเงิน, เทคโนโลยี, ไอที และเกมส์ อัปเดตข่าวทั้งจากในประเทศไทย และต่างประเทศ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

Back to top button