นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า กรณีที่มีข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมชาวจีน 4 คน ที่ใช้ AI สร้างคลิปวิดีโอปลอมจากภาพนิ่งของเหยื่อ เพื่อหลอกระบบยืนยันตัวตนของธนาคารนั้น จากการตรวจสอบพบว่า เป็นกรณี scammer ชาวจีนทดสอบระบบยืนยันตัวตนโดยใช้ข้อมูลและแอปพลิเคชั่นของจีนเท่านั้น ไม่ใช่ของไทยแต่อย่างใด
ธปท. ย้ำว่าระบบยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าที่ธนาคารพาณิชย์ในไทยใช้ มีมาตรการป้องกันการปลอมแปลงด้วยภาพหรือวิดีโออย่างรัดกุม แต่ละธนาคารมีเทคนิคการตรวจจับที่จะต้องผ่านการทดสอบความแม่นยำ ความปลอดภัยต่อการโจมตีในหลายรูปแบบ ก่อนนำมาใช้งานจริง
ศูนย์ประสานงานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ภาคการธนาคาร (TB-CERT) ภายใต้สมาคมธนาคารไทยยังติดตามภัยไซเบอร์รูปแบบใหม่ๆ อย่างใกล้ชิด หากพบความผิดปกติ ก็จะเร่งหาแนวทางป้องกันทันที
วานนี้ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2568 ตำรวจสืบสวนนครบาลได้บุกเข้าจับกุมชายชาวจีน 4 คน ภายในคอนโดมิเนียมหรูย่านสุขุมวิท 16 ใช้ห้องพักดังกล่าวเป็นฐานปฏิบัติการในการก่ออาชญากรรมไซเบอร์ หลังจากหนีการกวาดล้างจากฐานเดิมในประเทศกัมพูชา ลักลอบเข้ามาตั้งฐานในประเทศไทยได้ประมาณ 1 เดือนก่อนถูกจับกุม
วิธีการของแก๊งนี้มีความซับซ้อนอย่างยิ่ง ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขั้นสูง เพื่อทำการดัดแปลง “ภาพนิ่ง” ของเหยื่อ ให้กลายเป็น “คลิปวิดีโอเคลื่อนไหว” ที่มีความสมจริง สามารถกะพริบตา หันหน้าซ้าย-ขวา หรืออ้าปากได้ ถูกนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการหลอกลวงโดยเฉพาะ
เป้าหมายหลักของคลิปวิดีโอปลอมที่สร้างจาก AI คือการนำไปใช้หลอกระบบยืนยันตัวตนอัตโนมัติ (KYC – Know Your Customer) ของสถาบันการเงินและแพลตฟอร์มเงินดิจิทัลในประเทศจีน เพื่อเปิดบัญชีหรือทำธุรกรรมทางการเงินในนามของเหยื่อ ซึ่งเป็นชาวจีนด้วยกัน ก่อนที่จะใช้บัญชีเหล่านั้นในการฟอกเงินที่ได้มาจากการหลอกลวง
เจ้าหน้าที่ได้ยึดของกลางหลายรายการ ทั้งคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือกว่า 60 เครื่อง และยาไอซ์จำนวนหนึ่ง เบื้องต้น ผู้ต้องหาถูกแจ้งข้อหา ร่วมกันเป็นอั้งยี่, มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และมียาเสพติด คดีนี้ชี้ให้เห็นถึงภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่อันตรายอย่างยิ่ง จากการนำ AI มาใช้เพื่อหลบเลี่ยงระบบความปลอดภัยอัตโนมัติ
ติดตาม The Thaiger บน Google News:



