ไลฟ์สไตล์

วิตามินบี ทั้ง 9 ชนิดมีประโยชน์อะไร ช่วยอะไร กินตอนไหน มีคำตอบ!

สารอาหาร ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ร่างการของเรานั้นมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ และหนึ่งในสารอาหารสำคัญที่ขาดไม่ได้นั่นก็คือ วิตามิน ที่มีแยกย่อยไปอีกหลายชนิด และวันนี้ The Thaiger จะมาพาทุกท่านเจาะลึกไปกับ วิตามินบี ทั้ง 9 ประเภท มาดูกันว่า ประโยชน์ของวิตามินบี มีอะไรบ้าง ? และวิตามินบีแต่ละชนิดช่วยอะไร ? ควรกินตอนไหน ?

ประโยชน์ของวิตามินบี ทั้ง 9 ชนิด มีอะไรบ้าง ? คุณขาดตัวไหนอยู่ ?

วิตามินบี หรือ วิตามินบีรวม มักจะมาในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และต่างก็มีประโยชน์และผลข้างเคียงที่ต่างกันออกไป โดยวิตามินบีแต่ละตัวจะทำงานเสริมซึ่งกันและกัน ต้องรับประทานร่วมกันจึงจะมีประสิทธิภาพมากกว่าแยกรับประทาน สำหรับวิตามินบีรวมนั้น มีแยกย่อยออกไปอีกถึง 9 ชนิดย่อย ซึ่งแต่ละชนิดนั้นก็มีความสำคัญที่แตกต่างกันไป แต่ก็ขาดตัวใดตัวหนึ่งไปไม่ได้

ประโยชน์ของวิตามินบี

1.วิตามินบี 1 – ไทอะมีน

วิตามินบี 1 หรือ ไทอะมีน มีชื่อเรียกว่า “วิตามินเสริมขวัญและกำลังใจ” เพราะมีส่วนช่วยบำรุงประสาท ช่วยส่งเสริมการสร้างเซลล์ใหม่ แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ผัก โฮลวีต ถั่วเหลือง ข้าวโอ๊ต ถั่วลิสง รำข้าว เปลือกข้าว เมล็ดที่ไม่ผ่านการขัดสี บริเวอร์ยีสต์ นม ไข่แดง ปลา เนื้อออร์แกนิก เนื้อหมูไม่ติดมัน

  • ประโยชน์ของวิตามินบี 1
    • ช่วยบำรุงประสาท กล้ามเนื้อ ทำให้หัวใจทำงานเป็นปกติ
    • ช่วยบำรุงสมอง ความคิด สติปัญญาให้ดีขึ้น
    • ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโต
    • ช่วยย่อยอาหารจำพวกแป้งได้ดี
    • ช่วยบรรเทาอาการเมารถ เมาเรือ เมาเครื่องบิน
    • ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดหลังการผ่าตัดทำฟัน
    • ช่วยรักษาโรคงูสวัด
    • ช่วยรักษาโรคเหน็บชา
  • โรคจากการขาดวิตามินบี
    • โรคปากนกกระจอก พบที่บริเวณริมฝีปาก มุมปาก ผิวหนัง อวัยวะสืบพันธุ์

***ควรกินวิตามินบี 1 คือ 1 – 1.5 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้ใหญ่***

ประโยชน์ของวิตามินบี

2.วิตามินบี 2 – ไรโบฟลาวิน

วิตามินบี 2 มีอีกชื่อหนึ่งว่า วิตามิน จี ช่วยผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงและปกป้องเราจากอนุมูลอิสระ แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ไข่ นม ถั่ว โยเกิร์ต ชีส ผักใบเขียว ปลา ตับ ไต

  • ประโยชน์ของวิตามินบี 2
    • บำรุงผิวพรรณ เล็บ และเส้นผม
    • ช่วยในกระบวนการสร้างการเจริญเติบโตและสืบพันธุ์
    • เพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น ช่วยบรรเทาอาการอ่อนล้าของสายตา
    • ช่วยลดความเจ็บปวดจากไมเกรน
    • กำจัดอาการเจ็บแสบในปาก ริมฝีปาก และลิ้น
    • ทำงานร่วมกับสารอื่น ๆ ในการเผาผลาญอาหารประเภทแป้ง ไขมัน และโปรตีน
  • โรคจากการขาดวิตามินบี 2
    • โรคปากนกกระจอก พบที่บริเวณริมฝีปาก มุมปาก ผิวหนัง อวัยวะสืบพันธุ์

***ควรกินวิตามินบี 2 คือ 1.2 – 1.7 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้ใหญ่ ขนาดที่ใช้รับประทานต่อวันโดยทั่วไปคือ 100-300 มิลลิกรัม***

ประโยชน์ของวิตามินบี

3.วิตามินบี 3 – ไนอะซิน

วิตามินบี 3 หรือ ไนอะซิน สำหรับชื่ออื่น ๆ ได้แก่ ไนอะซินาไมด์, กรดนิโคตินิก, นิโคตินาไมด์ แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ไข่ ปลา เนื้อไม่ติดมัน เนื้อขาวจากพวกสัตว์ปีก ตับ โฮลวีต จมูกข้าวสาลี ถั่วลิสง อะโวคาโด อินทผลัม ลูกพรุน มะเดื่อฝรั่ง บริเวอร์ยีสต์

  • ประโยชน์ของวิตามินบี 3
    • ช่วยบำรุงผิวพรรณ
    • ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์
    • ช่วยเผาผลาญไขมันและช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น บรรเทาปัญหาต่าง ๆ ของระบบย่อยอาหาร
    • บรรเทาอาการปวดศีระษะจากไมเกรน
    • ลดอาการวิงเวียนศีรษะของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
    • เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ช่วยลดความดันโลหิต
    • ช่วยรักษาอาการร้อนในและกลิ่นปาก
    • บรรเทาอาการท้องร่วง
    • ช่วยเพิ่มพลังงานที่ได้จากการย่อยและเผาผลาญอาหาร
  • โรคจากการขาดวิตามินบี 3
    • โรคเพลลากรา (Pellagra) ลักษณะอาการคือเป็นผื่นผิวหนังอักเสบรุนแรง
  • ผลเสียจากการรับประทานวิตามินบี 3 เกินขนาด
    • อาจเป็นโรคเกาต์ หรือมีอาการปวดตามข้อได้
    • ผลข้างเคียงอาจมีอาการร้อนวูบวาบ หน้าแดง คันตามตัว เมื่อรับประทานเกินกว่า 100 มิลลิกรัม
    • ไม่ควรให้สัตว์กินไนอะซิน โดยเฉพาะสุนัข เพราะอาจมีอาการเหงื่อออก ร้อนวูบวาบตามตัว
    • ผู้ที่มีแนวโน้มเป็นโรคเบาหวานมีปัญหาต่อการควบคุมน้ำตาลในเลือด หรือส่งผลให้อาการของโรคเบาหวานรุนแรงขึ้นได้

***ควรกินวิตามินบี 3 คือ 13 – 19 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้ใหญ่***

ประโยชน์ของวิตามินบี

4.วิตามินบี 5 – กรดแพนโทเทนิก

วิตามินบี 5 หรือ กรดแพนโทเทนิก แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ เนื้อสัตว์ ไก่ ตับ ไต หัวใจ ธัญพืชไม่ขัดสี รำข้าว จมูกข้าวสาลี ถั่ว ผักสีเขียว กากน้ำตาลไม่บริสุทธิ์ บริเวอร์ยีสต์

  • ประโยชน์ของวิตามินบี 5
    • ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์
    • ช่วยลดอาการข้างเคียงจากการใช้ยาปฏิชีวนะ
    • ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย
    • ช่วยในกระบวนการรักษาแผล
    • ช่วยรักษาอาการช็อกหลังการผ่าตัด
    • ช่วยป้องกันการอ่อนเพลียของร่างกาย
    • ช่วยลดความเจ็บปวดจากโรคข้ออักเสบในผู้ป่วยบางรายได้
    • ช่วยรักษาอาการเหน็บชาที่มือและเท้า
    • ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย
  • โรคจากการขาดวิตามินบี 5
    • โรคไฮโปไกลซีเมีย (Hypoglycemia) หรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
    • เป็นแผลในลำไส้เล็ก
    • โรคเลือด
    • โรคผิวหนัง

***ควรกินวิตามินบี 5 คือ 10 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้ใหญ่***

ประโยชน์ของวิตามินบี

5.วิตามินบี 6 – ไพริด็อกซิน

วิตามินบี 6 หรือ ไพริด็อกซิน เป็นคำที่ใช้เรียกรวมกันของกลุ่มสารที่มีโครงสร้างคล้ายกันและทำงานร่วมกัน ซึ่งประกอบไปด้วย ไพริด็อกซิน ไพริด็อกซาล และไพริด็อกซามีน แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ บริเวอร์ยีสต์ รำข้าว จมูกข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี ถั่วลิสง ถั่วเหลือง วอลนัต กะหล่ำปลี กากน้ำตาล แคนตาลูป ไข่ ตับ ปลา

  • ประโยชน์ของวิตามินบี 6
    • ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็งแรง
    • ช่วยชะลอวัยได้
    • ช่วยป้องกันการเกิดนิ่วในไต
    • ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
    • ทำให้ร่างกายดูดซึมโปรตีนและไขมันได้ดียิ่งขึ้น
    • ช่วยเปลี่ยนรูปของทริปโตเฟน ให้เป็นวิตามินบี 3
    • ช่วยป้องกันโรคทางประสาทและโรคผิวหนังหลายชนิด
    • ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน
    • เป็นยาขับปัสสาวะตามธรรมชาติ
    • ลดอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งในเวลากลางคืน มือชา ขาเป็นตะคริว และปลายประสาทที่แขนขาอักเสบบางชนิด
    • ช่วยลดอาการปากแห้งและปัญหาด้านการปัสสาวะที่เกิดจากการรับประทานยาต้านอาการซึมเศร้าในกลุ่มไตรไซคลิก
  • โรคจากการขาดวิตามินบี 6
    • โรคโลหิตจาง
    • ผื่นผิวหนังอักเสบจากต่อมไขมัน
  • ผลเสียจากการรับประทานวิตามินบี 6 เกินขนาด
    • อาจเกิดอาการกระสับกระส่ายในเวลานอน
    • เท้าชาและมีอาการกระตุก
    • อาจทำให้เกิดปัญหาต่อระบบประสาท

***ควรกินวิตามินบี 6 คือ 1.6 – 2 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้ใหญ่***

ประโยชน์ของวิตามินบี

6.วิตามินบี 7 – ไบโอติน

วิตามินบี 7 (Biotin) หรือ วิตามิน เอช เป็นวิตามินที่ ละลายในน้ำ ซึ่งมีซัลเฟอร์เป็นส่วนประกอบและจัดอยู่ในกลุ่มวิตามินบีรวมแหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ตับวัว ไข่แดง นม แป้ง ถั่วเหลือง เนย ถั่วลิสง บริเวอร์ยีสต์ ข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี

  • ประโยชน์ของวิตามินบี 7
    • ช่วยป้องกันผมหงอกได้ดี
    • ช่วยป้องกันและรักษาโรคเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะล้าน
    • ช่วยป้องกันและบำรุงรักษาเล็บที่แห้งเปราะ
    • ช่วยในการเผาผลาญไขมันและโปรตีน
    • บรรเทาอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ
    • ช่วยบรรเทาอาการผื่นผิวหนังอักเสบ ผดผื่นคันต่าง ๆ
  • โรคจากการขาดวิตามินบี 7
    • ผมร่วง
    • ซึมเศร้า เบื่ออาหาร
    • อ่อนเพลีย หมดเรี่ยวแรง
    • การเผาผลาญไขมันทำงานไม่สมบูรณ์
    • เป็นผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณหน้าและตัว
  • ผลเสียจากการรับประทานวิตามินบี 7 เกินขนาด
    • อาจเกิดอาการกระสับกระส่ายในเวลานอน
    • เท้าชาและมีอาการกระตุก
    • อาจทำให้เกิดปัญหาต่อระบบประสาท

***ควรกินวิตามินบี 7 คือ 100 – 300 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้ใหญ่***

ประโยชน์ของวิตามินบี

7.วิตามินบี 9 – กรดโฟลิก

วิตามินบี 9 หรือ กรดโฟลิก (โฟเลต,โฟลาซิน) หรือรู้จักกันในชื่อ วิตามิน เอ็ม หรือวิตามิน บีซี (BC) แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ไข่แดง ตับ ผักใบเขียวเข้ม แคร์รอต แคนตาลูป ฟักทอง เอพริคอต อะโวคาโด อาร์ทิโชก ถั่ว แป้งไรย์แบบสีเข้มที่ไม่ผ่านการขัดสี ทอร์ทูลายีสต์

  • ประโยชน์ของวิตามินบี 9
    • ช่วยบำรุงผิวพรรณและสุขภาพ
    • ช่วยแก้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอได้
    • ช่วยชะลอให้ผมขาวช้าลง หากรับประทานร่วมกับพาบา และวิตามินบี5
    • ช่วยให้เจริญอาหาร หากร่างกายอ่อนเพลีย
    • ช่วยป้องกันแผลร้อนในได้
    • ช่วยรักษาภาวะซีดหรือโลหิตจาง
    • ทำงานออกฤทธิ์คล้ายยาแก้ปวด
    • ช่วยป้องกันพยาธิในลำไส้และอาการแพ้จากอาหารเป็นพิษ
    • ช่วยป้องกันการพิการของเด็กทารกแรกเกิด
    • ช่วยในการสร้างน้ำนมของมารดาหลังคลอดบุตร
    • ช่วยลดระดับของกรดอะมิโนโฮโมซิสเทอีนในเลือด
    • ชวยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้
  • โรคจากการขาดวิตามินบี 9
    • โรคโลหิตจางแบบแมโครไซติกหรือเม็ดเลือดแดงมีขนาดใหญ่ผิดปกติ

***ควรกินวิตามินบี 7 คือ 180 – 200 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้ใหญ่***

8.วิตามินบี 12 – โคบาลามิน

วิตามินบี 12 หรือ โคบาลามิน (Cobalamin) มีอีกชื่อที่รู้กันดีคือ วิตามินแดงหรือไซยาโนโคบาลามิน (Cyanocobalamin) แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ เนื้อสัตว์เป็นหลัก ตับ ไต นม ไข่แดง ชีส ปลา เนื้อหมู เนื้อวัว อาหารหมักดอง เป็นต้น

  • ประโยชน์ของวิตามินบี 12
    • ช่วยบำรุงประสาททำให้ระบบประสาทแข็งแรงขึ้น
    • ช่วยเพิ่มสมาธิ ความจำ และการทรงตัว
    • ช่วยบรรเทาอาการหงุดหงิด ลดความเครียด
    • ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตและเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย
    • ช่วยทำให้เด็กเจริญอาหาร
    • ทำให้ร่างกายสามารถใช้ไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตได้อย่างเหมาะสม
    • มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
    • ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันโรคโลหิตจาง
    • ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งจากการสูบบุหรี่
    • เสริมสร้างความแข็งของกระดูกและช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนได้
  • โรคจากการขาดวิตามินบี 12
    • โรคโลหิตจาง
    • โรคเกี่ยวกับระบบประสาท

***ควรกินวิตามินบี 12 คือ 0.2 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้ใหญ่***

9.วิตามินบี 15 – กรดแพงเกมิก

วิตามินบี 15 หรือ กรดแพงเกมิก แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ข้าวกล้อง เมล็ดฟักทอง เมล็ดงา เมล็ดธัญพืชไม่ขัดสี บริเวอร์ยีสต์

  • ประโยชน์ของวิตามินบี 15
    • ช่วยเพิ่มการตอบสนองภูมิคุ้มกันของร่างกาย
    • ช่วยในการสังเคราะห์โปรตีน
    • ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
    • ช่วยบรรเทาอาการอยากดื่มสุรา
    • ช่วยรักษาอาการเมาค้าง
    • ช่วยปกป้องตับจากภาวะตับแข็ง
    • เร่งการฟื้นตัวจากความอ่อนเพลีย
    • ช่วยป้องกันอันตรายจากมลพิษต่าง ๆ
    • สามารถยืดอายุของเซลล์ในหลอดทดลองได้
    • ช่วยบรรเทาอาการเจ็บหน้าอกจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและโรคหืด
  • โรคจากการขาดวิตามินบี 15
    • ความผิดปกติของต่อม และเส้นประสาท
    • โรคหัวใจ
    • สภาวะออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่าง ๆ น้อยลง
  • ผลเสียจากการรับประทานวิตามินบี 15 เกินขนาด
    • มีอาการคลื่นไส้ในช่วงแรก ๆ แต่อาการมักจะหายไปได้เองภายในไม่กี่วัน

***ควรกินวิตามินบี 15 คือ 0.2 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้ใหญ่***

 

วิตามินบีรวม ควรกินตอนไหนดีที่สุด ? – ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับกินวิตามินบีรวมมากที่สุดก็คือ กินพร้อมมื้ออาหารและหลังอาหาร เนื่องจากร่างกายจะสามารถดูดซึมได้ดีที่สุด หากต้องการกินวิตามินบีรวมให้ได้ผลดีที่สุด ควรกินพร้อมกับวิตามินซี ในมื้ออาหารเช้า กลางวัน หรือเย็น ในปริมาณที่เหมาะสมกับที่ร่างกายต้องการ

 

ข้อมูลจาก เปาโล

เรื่อง : สิทธิโชติ ลังกากาศ
บรรณาธิการ : ทศพล ถิรเจริญสกุล


 

Lalita C.

นักเขียนคอนเทนต์ SEO แห่งทีมไทยเกอร์ไทย คลุกคลีกับการเขียนตั้งแต่สมัยเรียน ชอบการใช้ความคิดสร้างสรรค์ ติดตามข่าวสารจากโลกออนไลน์ นำมาสรุป เล่าเรื่องให้เข้าใจง่าย ผ่านมุมมองน่าสนใจที่คนมักจะมองข้าม ทั้งข่าวบันเทิง บทความ งานเขียนแนวไลฟ์สไตล์ รวมถึงทุกอย่างที่อยากให้นักอ่านได้รู้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

Back to top button