เหยื่อ สส.ปูอัด ส่งจดหมายเปิดผนึก ผิดหวังมติพรรค วอนขอความเป็นธรรมจากก้าวไกล
ผู้เสียหาย สส.ปูอัด ส่งจดหมายเปิดผนึก รับผิดหวังจากมติโหวตของ 22 สส.พรรคก้าวไกล ขอไว้อาลัยกับความละเลยในการตระหนักถึงความรุนแรงทางเพศ
จากกรณี สส.ปูอัด หรือ นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ ถูกร้องเรียนปมคุกคามทางเพศ กระทั่งในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ภายหลังจากที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค และสส.ของพรรคก้าวไกล จำนวน 106 เสียง เห็นควรให้ขับออกจากพรรค แต่ไม่ถึง 3 ใน 4 หรือ 116 เสียง ทำให้ สส.ปูอัด ถูกตัดสิทธิพึงมีทั้งหมด และให้คาดโทษไปตลอดสมัยประชุมหากมีพฤติกรรมใด ๆ ที่เข้าข่ายคุกคามทางเพศอีก
ล่าสุด ทางเพจวันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร ได้ออกมาโพสต์จดหมายเปิดผนึกของผู้เสียหายจากกรณีที่ นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ สส.กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล ถึง สส.ทั้ง 22 คนที่ไม่ได้โหวตให้ขับ นายไชยามพวาน ออกจากพรรค โดยระบุว่า
“เรียน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคก้าาวไกล
จดหมายเปิดผนึกฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อไว้อาลัยให้กับความละเลยของคุณในการตระหนักถึงประเด็นความรุนแรงที่เกิดจากการคุกคาม การล่วงละเมิดทางเพศ และความเหลื่อมล้ำทางเพศในสังคมปัจจุบัน
ดิฉันเห็นว่าประเด็นความรุนแรง และความเหลื่อมล้ำทางเพศเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซับซ้อน และต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ อย่างไรก็ตามประเด็นเหล่านี้เป็นประเด็นที่บุคคลที่เรียกตัวเองว่าเป็น ‘ตัวแทนของประชาชน’ จำเป็นต้องให้ความสำคัญ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้เป็นรากฐานสำคัญที่ส่งเสริมสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
จากเหตุผลข้างต้นทำให้ดิฉันรู้สึกผิดหวังในผลการลงคะแนนเสียงเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ซึ่งเผยให้เห็นว่าสมาชิกผู้แทนราษฎร 22 คน ในพรรคก้าวไกลยังไม่ตระหนักถึงความรุนแรงจากการล่วงละเมิดทางเพศที่เกิดขึ้น
นอกจากนั้นยังเพิกเฉยต่อทัศนคติที่คับแคบ และขาดความรับผิดชอบของผู้กระทำการพิจารณาคดีอย่างเหมาะสม
สำหรับกรณีความรุนแรงทางเพศจำเป็นต้องมีการสอบสวนถึงปัจจัย หลักฐาน และเจตนาของผู้กระทำ ดิฉันมีความพยายามอย่างเต็มที่ในการมอบหลักฐานทั้งหมดเพื่อพิสูจน์ให้เห็นถึงเจตนาที่ชัดเจนของผู้กระทำในการล่วงละเมิดทางเพศ
ความคาดหวังของดิฉัน คือ การที่สมาชิกผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกล ซึ่งมักยกย่องตนเองว่าเป็นผู้มีการศึกษา มีเกียรติ และมีความตระหนักรู้ถึงประเด็นต่างๆ ในสังคม ใช้วิจารณญาณและจิตสำนึกความเป็นเพื่อนมนุษย์ในการตัดสินโดยพิจารณาจากหลักฐานทั้งหมด อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ที่น่าผิดหวังจนทำให้ดิฉันเกือบจะสิ้นหวัง เพราะผลลัพธ์นั้นแสดงให้เห็นว่าสมาชิกบางท่านได้ปล่อยให้แรงจูงใจส่วนบุคคลบ่อนทําลายการแสวงหาความยุติธรรม
ขณะนี้สังคมจำเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่เพิกเฉยต่อกรณีการล่วงละเมิดทางเพศ และไม่ควรหาคำแก้ตัวใด ๆ ที่พยายามลดความรุนแรงของพฤติกรรมดังกล่าว การล่วงละเมิดทางเพศเป็นสิ่งที่ผิดอย่างแน่ชัดและปฏิเสธไม่ได้ การกระทำที่ทำให้ผู้อื่นตกเป็น “วัตถุทางเพศ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกระทำโดยบุคคลในตำแหน่งที่มีอำนาจเหนือกว่า สามารถให้คุณให้โทษได้ ถือเป็นความผิดร้ายแรง
ดิฉันเห็นว่าการกระทำเหล่านี้เป็นการปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยเจตนาว่าคนเหล่านั้นไม่มีความสำคัญ ลดทอนคุณค่า และเหยียบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างหาที่สุดไม่ได้ การกระทํานี้เป็นสิ่งที่ “น่ารังเกียจ” ส่งผลทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างใหญ่หลวงต่อผู้เสียหาย
ความอยุติธรรมที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ “การที่ผู้กระทำการล่วงละเมิดทางเพศ ไม่ตระหนักรู้ถึงความผิดนั้น” นอกจากนั้นยังมีการกล่าวหาและนำข้อมูลส่วนตัวของดิฉันออกสู่สาธารณชน การกระทำเหล่านี้เป็นการโยนความผิดและผลักภาระในการพิสูจน์ความจริงมาที่ผู้ร้องโดยตรง ซึ่งจะเป็นประสบการณ์ที่ตามหลอกหลอน
ผู้ถูกกระทำแม้กระทั่งหลังจากที่ได้รับความยุติธรรมแล้วก็ตาม และมีเพียง “เหยื่อ” เท่านั้นที่จะสามารถรับรู้ผลกระทบที่เจ็บปวดอย่างหาที่สุดไม่ได้จากการล่วงละเมิดทางเพศ
จากสิ่งที่ดิฉันได้ชี้แจงข้างต้น ดิฉันขอวิงวอนให้ทุกท่านพิจารณาอีกครั้งว่า บุคคลนี้มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็น ผู้แทนราษฎรหรือไม่ ลองถามตัวเองด้วยคำถามเหล่านี้ว่า ถ้าหากเหตุการณ์เหล่านี้เกิดกับคนใกล้ชิด คนสนิท พี่สาว น้องสาว ลูกสาว หรือภรรยาของคุณ คุณจะยังยินดีที่สนับสนุนบุคคลที่คุกคามทางเพศหรือไม่ คุณยังยืนยันที่จะเข้าข้างเพื่อนของคุณหรือไม่ คุณเป็นเพียงนักการเมืองที่มีอคติอีกคนที่ปล่อยให้ผลประโยชน์ส่วนตัวกลืนกินจิตสำนึกของคุณหรือไม่ หรือคุณจะเป็นนักการเมืองที่ยืนอยู่บนหลักการ ความจริง และความถูกต้อง
การตัดสินใจของคุณในครั้งนี้สะท้อนมุมมองและทัศนคติของคุณ รวมถึงอุปนิสัยและความจริงใจในการตระหนักถึงความรุนแรงในการคุกคามทางเพศ นอกจากนี้ผลลัพธ์จากทางเลือกที่คุณตัดสินใจยังทำหน้าที่เป็น “เครื่องเตือนใจ” ว่าคุณได้ล้มเหลวในความมุ้งมั่นที่จะเป็นผู้แทนราษฎรที่ดี และไม่สามารถเป็นผู้แทนราษฎรที่ประชาชนไว้ใจอีกต่อไป”
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง