สาวแฉ พนง.คลินิกดัง รุมขายคอร์ส-ดึงมือถือไปกดทำธุรกรรมเอง สูญเงินกว่า 6 ล้านบาท

เรื่องนี้ต้องใส่ใจ! สาวแฉ พนง.คลินิกดัง รุมขายคอร์สทำสวย ก่อนถือวิสาสะดึงมือถือลูกค้ากดทำธุรกรรม-โทรขอเพิ่มวงเงินบัตรเครดิตแทน ทำสูญเงินกว่า 6 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 เพจ ท่านเปา ได้มีการเผยแพร่เรื่องราวประสบการณ์ตรงของผู้เสียหายท่านหนึ่งออกมาแฉพฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่สถาบันเสริมความงามแบรนด์หนึ่ง รุมหลอกล่อขายคอร์สทำสวย ไม่ยอมซื้อไม่ปล่อยให้ออกจากคลินิก แถมถือวิสาสะเอาโทรศัพท์ของลูกค้าไปกดทำธุรกรรม และโทรฯ ขอเพิ่มวงเงินบัตรเครดิตแทน ทำสูญเงินไปกว่า 6 ล้านบาท
“เรื่องนี้ต้องใส่ใจ ! ใครเคยเข้าสถาบันเสริมความงามหรือคลินิกดูแลผิวแล้วเจอเหตุการณ์แบบนี้บ้าง? เคสนี้ไป 4 ครั้งสูญเงินกว่า 6 ล้านบาท หลังโดนหว่านล้อมขายคอร์สจนหมดตัว…
เรื่องนี้เริ่มจากผู้บริโภครายหนึ่ง เดินผ่านบูธกิจกรรมของสถาบันเสริมความงามแห่งนึงที่ตั้งอยู่ในห้างเซ็นทรัลเวสต์เกต ทางพนักงานเชิญชวนให้ลงทะเบียนเพื่อ “รับแก้วเยติฟรี” แต่สุดท้ายกลับถูกพาเข้าไปในบูธให้สแกนใบหน้า ตรวจสุขภาพผิวและชั่งน้ำหนักวัดมวลไขมัน ถูกพนักงานพูดจาชักจูงให้ซื้อคอร์สลดไขมัน โดยอ้างว่าจะช่วยบรรเทาอาการ “ไขมันพอกตับ” ได้
ตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจจะทำสวย แต่พนักงานหลานคนเข้ามาหว่านล้อม และไม่ยอมปล่อยให้ลุกออกจากบูธ จนในที่สุดก็ตัดสินใจซื้อคอร์สแรก 10,000 บาท
แต่เรื่องไม่ได้จบแค่นั้น…พอถูกพาลงไปที่คลินิกจริง เจ้าหน้าที่อีกสองคนก็เข้ามาชวนคุยต่อ พูดเก่ง หว่านล้อมเก่ง และจับจุดอ่อนได้ตรงเพราะตัวเองมีปัญหาเรื่องสุขภาพอยู่แล้ว เกิดอาการวิตกกังวลจนตัดสินใจซื้อคอร์สเพิ่มอีก 1 ล้านบาท
จากนั้นทุกครั้งที่กลับไปใช้บริการ ก็ถูกชักจูงให้จ่ายเพิ่มทุกครั้ง โดยเจ้าหน้าที่จะเข้ามาขายตอนทำทรีตเมนต์ ทำเสร็จก็ไม่ยอมปล่อยให้ออกจากคลินิก
ครั้งที่ 2 : 1.5 ล้านบาท
ครั้งที่ 3 : 2.5 ล้านบาท
ครั้งที่ 4 : 1 ล้านบาท
รวมยอดที่จ่ายทั้งหมดกว่า 6,010,000 บาทแต่ได้ใช้บริการจริงแค่ 4 ครั้งเท่านั้น
สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือเจ้าหน้าที่คลินิกเป็นคน “กดทำธุรกรรมบนโทรศัพท์ของลูกค้าเอง” เพราะผู้บริโภคบอกว่าใช้มือถือไม่เก่ง เจ้าหน้าที่เลยจัดการให้หมดโทรไปขอเพิ่มวงเงินบัตรเครดิตแทน กดยืนยันให้เสร็จลูกค้าแค่พูด “ยืนยันตัวตน” ตามขั้นตอนเท่านั้น
ทุกครั้งที่ไปคลินิกจะถูกจับมือถือ กดโอน กดเพิ่มวงเงินให้เรียบร้อยอยู่ในห้องคนเดียว ไม่มีใครช่วย พูดง่ายๆ คือ “จนมุม” ทุกครั้งที่ไป
สุดท้าย รู้ตัวว่าถูกหลอก จึงยื่นฟ้องคดีแพ่งเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 เพื่อขอเงินคืน ทางคลินิกเสนอคืนเพียง 1 ล้านบาท โดยอ้างเป็น “นโยบายบริษัท” ผู้บริโภคเห็นว่าไม่เป็นธรรม จึงไปร้องเรียนต่อ สคบ. แต่เนื่องจากคดีอยู่ในศาลแล้ว สคบ. เข้าไปดำเนินการไม่ได้สุดท้ายต้องขอความช่วยเหลือจากสภาองค์กรของผู้บริโภค”
อ้างอิงจาก : FB ท่านเปา
ติดตาม The Thaiger บน Google News:





