รู้จัก ภาวะปอดแตก ภัยเงียบคร่าชีวิต เช็กสัญญาณอันตราย ใครบ้างคือกลุ่มเสี่ยง

ทำความรู้จักภาวะ ปอดรั่ว หรือ ปอดแตก ภัยเงียบที่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะคนหนุ่มสาว สายออกกำลังกาย หรือมีโรคประจำตัว มาดูกันว่ามีอาการแบบไหน และป้องกันได้อย่างไร
จากกรณีที่นักแสดงสาว ชิงชิง คริษฐา สังสะโอภาส ได้ออกมาโพสต์แจ้งข่าวว่าป่วยกะทันหัน หลังมีอาการหายใจไม่ออกและรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจเหมือนโดนเข็มจิ้ม ซึ่งแพทย์ตรวจพบว่าเป็นภาวะลมรั่วในเยื่อหุ้มปอดด้านซ้าย ทำให้ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลและถูกส่งตัวเข้าห้อง CCU แล้วภาวะปอดรั่วคืออะไร อันตรายแค่ไหน และมีสัญญาณเตือนอะไรบ้าง
ทำความรู้จัก “ภาวะปอดแตก” ภัยเงียบที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิด
ปอด คืออวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนก๊าซ เปรียบเสมือนโรงไฟฟ้าที่นำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายและขับคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป แต่บางครั้งระบบที่สำคัญนี้ก็อาจเกิดภาวะผิดปกติที่เรียกว่า ภาวะปอดแตก หรือ ปอดรั่ว (Pneumothorax) ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องทำความเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ และแนวทางการรักษาที่ถูกต้อง
ภาวะปอดแตกไม่ใช่การที่ปอดระเบิดออกตามชื่อ แต่คือสถานการณ์ที่มีอากาศเข้าไปสะสมอยู่ใน ช่องเยื่อหุ้มปอด ซึ่งเป็นช่องว่างบางๆ ระหว่างตัวปอดกับผนังช่องอก ตามปกติแล้วในช่องนี้แทบไม่มีอากาศอยู่เลย ทำให้ปอดสามารถขยายตัวได้อย่างเต็มที่ แต่เมื่อมีอากาศรั่วเข้าไป (ไม่ว่าจะจากตัวปอดเองหรือจากภายนอก) แรงดันของอากาศนั้นจะเข้าไปบีบเบียดเนื้อปอด ทำให้ปอดแฟบลงและไม่สามารถขยายตัวเพื่อรับออกซิเจนได้ตามปกติ ส่งผลให้เกิดอาการหายใจลำบากและเจ็บหน้าอกตามมา
อาการและสัญญาณเตือนของภาวะปอดแตก
ผู้ที่มีภาวะปอดแตกอาจแสดงอาการที่แตกต่างกันไป แต่สัญญาณเตือนสำคัญที่ควรสังเกตและรีบไปพบแพทย์ มีดังนี้
- เจ็บหน้าอกเฉียบพลัน รู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมาทันทีที่หน้าอกข้างใดข้างหนึ่ง อาจร้าวไปที่ไหล่หรือหลัง และจะเจ็บมากขึ้นเมื่อหายใจเข้าลึก ๆ
- เหนื่อยหอบ หายใจลำบาก รู้สึกเหนื่อยง่ายขึ้นอย่างกะทันหัน หายใจได้ไม่เต็มอิ่ม หรือต้องหายใจสั้น ๆ ถี่ ๆ
- ไอแห้ง อาจมีอาการไอแห้ง เกิดขึ้นร่วมด้วย
- ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว เป็นผลมาจากการที่ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ
สาเหตุของภาวะปอดแตก
ปอดแตกที่เกิดขึ้นเอง (Spontaneous Pneumothorax)
เป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้เองโดยไม่มีปัจจัยภายนอกกระตุ้น แบ่งย่อยได้เป็น
- แบบปฐมภูมิ (Primary) มักเกิดในคนอายุน้อย (ช่วง 20-30 ปี) ที่ไม่มีโรคปอดมาก่อน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีรูปร่างสูงผอมและผู้ที่สูบบุหรี่ ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากถุงลมขนาดเล็กที่ผิดปกติ (Blebs/Bullae) บริเวณผิวปอดเกิดปริแตกขึ้นมา
- แบบทุติยภูมิ (Secondary) เกิดในผู้ป่วยที่มีโรคปอดเป็นทุนเดิม เช่น โรคถุงลมโป่งพอง (COPD) โรคหืด วัณโรค หรือมะเร็งปอด ทำให้เนื้อปอดอ่อนแอและเสี่ยงต่อการฉีกขาดได้ง่าย ซึ่งมักมีอาการรุนแรงกว่าแบบแรก
ปอดแตกจากปัจจัยภายนอก (Traumatic Pneumothorax)
เป็นภาวะที่มีสาเหตุจากการบาดเจ็บที่บริเวณทรวงอก
- อุบัติเหตุ เช่น การกระแทกอย่างรุนแรง ตกจากที่สูง หรืออุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ทำให้กระดูกซี่โครงหักไปทิ่มเนื้อปอด
- การถูกของมีคม เช่น บาดแผลถูกแทงที่ทะลุเข้าไปในช่องอก ทำให้อากาศจากภายนอกเข้าไปในช่องเยื่อหุ้มปอดได้
การรักษาภาวะปอดแตก
เป้าหมายหลักของการรักษา คือการระบายลมที่รั่วออกมาเพื่อให้ปอดกลับมาขยายตัวได้ และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ โดยมีวิธีการรักษาหลายระดับขึ้นอยู่กับความรุนแรง

การรักษาโดยไม่ผ่าตัด
- สังเกตอาการ ในกรณีที่ลมรั่วไม่มากและผู้ป่วยอาการไม่รุนแรง แพทย์อาจให้พักและให้ออกซิเจนเสริม เพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ดูดซึมลมกลับเข้าไปเอง
- ใช้เข็มเจาะระบายลม (Needle Aspiration) สำหรับกรณีที่ลมรั่วมากขึ้น แพทย์จะใช้เข็มดูดลมส่วนเกินออก
- ใส่ท่อระบายทรวงอก (Chest Tube Drainage) เป็นวิธีมาตรฐานสำหรับกรณีที่ลมรั่วเยอะและปอดแฟบมาก โดยจะใส่ท่อคาไว้เพื่อระบายลมออกอย่างต่อเนื่องจนกว่ารอยรั่วจะปิดสนิท
การรักษาโดยการผ่าตัด
กรณีที่ผู้ป่วยเป็นซ้ำบ่อยครั้งหรือมีรอยรั่วขนาดใหญ่ แพทย์อาจพิจารณา การผ่าตัดส่องกล้อง (VATS) ซึ่งเป็นวิธีการผ่าตัดที่แผลเล็กและฟื้นตัวไว เพื่อเข้าไปตัดถุงลมที่ผิดปกติออกและทำให้เยื่อหุ้มปอดสมานติดกัน ป้องกันการเกิดซ้ำในอนาคต

การป้องกันและดูแลตนเอง
การลดความเสี่ยงจากภาวะปอดแตกสามารถทำได้โดย
- งดการสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดที่ทำลายเนื้อปอดโดยตรง
- หลีกเลี่ยงมลพิษ เช่น ฝุ่น PM2.5 และควันพิษต่าง ๆ
- ระมัดระวังอุบัติเหตุ โดยเฉพาะอุบัติเหตุที่อาจกระทบกระเทือนบริเวณทรวงอก
- ดูแลโรคปอดประจำตัว หากมีโรคปอด ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- สังเกตอาการผิดปกติของตนเอง หากมีอาการเจ็บหน้าอกเฉียบพลันหรือเหนื่อยหอบผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
ภาวะแทรกซ้อนจากปอดแตกที่ควรรู้
หนึ่งในภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายที่สุดคือ ปอดแตกชนิดมีแรงดัน (Tension Pneumothorax) ซึ่งเกิดจากอากาศที่รั่วเข้าช่องเยื่อหุ้มปอดอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีทางออก ทำให้ความดันในช่องอกเพิ่มสูงขึ้น จนไปบีบหัวใจและหลอดเลือดใหญ่ ส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้น้อยลง ความดันโลหิตตก และอาจช็อกหรือเสียชีวิตได้หากไม่รีบระบายลมอย่างเร่งด่วน นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายอาจเกิด ภาวะติดเชื้อในช่องเยื่อหุ้มปอด (Empyema) หากมีการเจาะหรือใส่ท่อระบายลมโดยไม่ปลอดเชื้อ หรือเกิด เลือดออกในช่องอก (Hemothorax) หากมีเส้นเลือดฝอยหรือหลอดเลือดฉีกขาดร่วมด้วย
คนกลุ่มไหนเสี่ยงต่อการเกิดภาวะปอดแตกมากกว่า
แม้ภาวะปอดแตกจะพบได้บ่อยในผู้สูบบุหรี่หรือผู้มีโรคปอดเรื้อรัง แต่ในความเป็นจริง นักกีฬาและนักดำน้ำก็จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงความดันภายในร่างกายอย่างรวดเร็ว เช่น การดำน้ำลึก ปีนเขาระดับสูง หรือการฝึกซ้อมที่ใช้แรงดันปอดมากผิดปกติ เช่น การกลั้นหายใจหรือการฝึกหายใจลึกซ้ำ ๆ ในกรณีนักดำน้ำ หากมีฟองอากาศในปอดแล้วขึ้นสู่ผิวน้ำเร็วเกินไป ความดันอากาศที่ลดลงฉับพลันอาจทำให้ ถุงลมปอดแตก (Barotrauma) ส่งผลให้อากาศรั่วเข้าช่องเยื่อหุ้มปอดได้
ส่วนในนักกีฬาประเภทที่มีแรงกระแทกสูง เช่น บาสเกตบอล รักบี้ หรือการยกน้ำหนัก อาจทำให้ถุงลมผิดปกติที่มีอยู่เดิมแตกออกได้โดยไม่รู้ตัว นักกีฬาที่มีรูปร่างผอมสูงจัดว่าเสี่ยงมากขึ้นเช่นเดียวกับในกลุ่มปอดแตกแบบปฐมภูมิ การสังเกตอาการผิดปกติ เช่น เจ็บหน้าอกหรือเหนื่อยหอบเฉียบพลันหลังการออกกำลังกาย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ‘ชิงชิง คริษฐา’ เปิดตัวหวานใจ ‘เชฟปิง’ ค่อย ๆ เติบโตและเรียนรู้ไปด้วยกันนะคะ
- พี่สาวเผยอาการล่าสุด “น้ำตาล เดอะสตาร์ 5” ปอดแตก หายใจเองไม่ได้
- “อีเจี๊ยบ เลียบด่วน” แจ้งข่าวที่หายไป นอนไอซียู ไม่ได้สติ 20 วัน น้ำท่วมปอด
ติดตาม The Thaiger บน Google News: