ตร.จับ เจ๊แหม่มบ้านออมทอง ลวงเหยื่อออมทองราคาถูก สูญเงินกว่า 300 ล้านบาท
จับกุม “เจ๊แหม่ม” แม่ทีมบ้านออมทอง เหยื่อออมทองราคาถูก สูญเงินกว่า 300 ล้านบาท อ้างไม่ได้ตั้งใจโกง ลูกค้าปิดยอดพร้อมกันช่วงปีใหม่ ทำให้หมุนเงินไม่ทัน
วันที่ 20 ธันวาคม 2567 – ตำรวจ สภ.บางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จับกุม นางสาวแหม่ม อายุ 37 ปี เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก “บ้านออมทองเจ๊แหม่ม” หลังหลอกลวงเหยื่อจำนวนมากให้ออมทอง โดยอ้างราคาถูกกว่าท้องตลาด 3,000-4,000 บาท สร้างความเสียหายทั่วประเทศรวมมูลค่าเกือบ 300 ล้านบาท
พฤติการณ์ของ “เจ๊แหม่ม” คือการใช้เพจเฟซบุ๊ก “บ้านออมทองเจ๊แหม่ม” โพสต์ข้อความและรูปภาพสาธารณะ เชิญชวนให้ออมทองคำแท้ 96.5% ทั้งทองรูปพรรณและทองแท่ง โดยโฆษณาว่าราคาถูกกว่าราคาทองคำในท้องตลาดขณะนั้น 3,000-4,000 บาท
เจ๊แหม่มสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการโพสต์ภาพขณะไปซื้อทองคำด้วยเงินสดที่ร้านทองจำนวนมากผ่านทางเพจหลายครั้ง นอกจากนี้ ยังมีระบบตัวแทนชักชวนลูกค้า โดยผู้ที่ชักชวนจะได้รับค่าตอบแทนรายละ 500 บาท พร้อมโปรโมชั่นจูงใจอื่นๆ ทำให้มีผู้หลงเชื่อจำนวนมาก โดยเฉพาะเพื่อนร่วมงานในบริษัทแห่งหนึ่งในนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน และผู้ที่ติดต่อผ่านเฟซบุ๊ก
เมื่อผู้เสียหายจ่ายเงินออมทองคำครบจำนวนแล้ว จะได้รับทองคำถัดไปอีก 14 วัน แต่เมื่อถึงกำหนด กลับไม่ได้รับทองคำหรือค่าตอบแทนตามที่ตกลงไว้ โดยเฉพาะในช่วงเดือนธันวาคม 2566 ถึงมกราคม 2567 มีผู้เสียหายประมาณ 20 คน ในพื้นที่ สภ.บางปะอิน ไม่ได้รับทองคำหรือค่าตอบแทน
เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางปะอิน ได้รวบรวมหลักฐานและขอหมายจับจากศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2567 ในข้อหา “ฉ้อโกงประชาชน” และติดตามจับกุมเจ๊แหม่มได้เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 ขณะกำลังจะไปทำงานในโรงงานแห่งหนึ่งในพื้นที่เขตนวนคร
เจ๊แหม่ม อ้างว่า เงินที่ได้จากการออมทองของลูกข่าย ตนเองนำไปหมุนและแบ่งจ่ายให้ลูกข่ายที่ออมทองและปิดยอดไปแล้ว แต่เกิดปัญหาลูกค้าปิดยอดพร้อมกันช่วงปีใหม่ ทำให้หมุนเงินไม่ทัน ประกอบกับไม่มีลูกข่ายมาลงทุนเพิ่ม จึงทำให้ระบบช็อต ยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใจจะหลอกหรือโกงใคร
พ.ต.อ.ดิเรก โปธิปัน ผกก.สภ.บางปะอิน เปิดเผยว่า กรณีดังกล่าวคล้ายกับแชร์ลูกโซ่ หลอกให้เหยื่อหลงเชื่อซื้อทองราคาถูกและนำไปขายได้กำไรสูง ซึ่งไม่มีอยู่จริง จึงฝากเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อ มิฉะนั้นจะตกเป็นเหยื่อ ขณะนี้มีผู้เสียหายใน สภ.บางปะอิน 16 ราย ความเสียหาย 28 ล้านบาท และคาดว่าจะมีผู้เสียหายมาแจ้งความเพิ่มเติมอีกจำนวนมาก เนื่องจากมีการโพสต์ชักชวนผ่านเฟซบุ๊กสาธารณะ พบมูลค่าความเสียหายทั่วประเทศประมาณ 300 ล้านบาท