ข่าวต่างประเทศ

ลูกชายเดือด พ่อทรุดป่วย พยาบาลยันสุขภาพปกติ ผ่านไป 15 นาที หัวใจวายตาย

เป็นใครเจอแบบนี้ก็หัวร้อนกันทั้งนั้น เมื่อหนุ่มพาคุณพ่อวัย 80 ปีไปโรงพยาบาล พร้อมอาการป่วยรุนแรง แต่พยาบาลมองเป็นเรื่องปกติ สุดท้ายเสียชีวิตในอีก 15 นาทีให้หลัง

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ประเทศฮ่องกง เมื่อมีญาติผู้ป่วยที่เสียชีวิตที่โรงพยาบาลหลิงซัต ในย่านเจียงจุนอาว ร้องเรียนว่าทางโรงพยาบาลล่าช้าในการรักษา โดยบุตรชายของผู้ป่วยวัย 80 ปี ได้เล่ากับสื่อว่า เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ขณะเยี่ยมไข้พบว่าบิดาของเขามีอาการทุกข์ทรมานมาก ในช่วง 45 นาที ได้เรียกพยาบาลหรือแพทย์มาดูอาการถึงสามครั้ง แต่ไม่มีใครมาประเมินอาการของบิดา มีเพียงพยาบาลที่บอกว่า ‘ก็แบบนี้แหละ เป็นเรื่องปกติ’

Advertisements

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ญาติออกจากโรงพยาบาลไปเพียง 15 นาที ก็ได้รับโทรศัพท์จากทางโรงพยาบาลแจ้งว่าบิดาหัวใจหยุดเต้นและกำลังพยายามช่วยชีวิต แต่สุดท้ายก็เสียชีวิต ญาติสงสัยว่าพยาบาลของโรงพยาบาลมีทัศนคติที่เพิกเฉย ทำให้เกิดความล่าช้าในการรักษาผู้เสียชีวิต

เกี่ยวกับการร้องเรียนของญาติ คำตอบของโรงพยาบาลหลิงซัตในจดหมายถึงญาติผู้เสียชีวิตกับคำตอบล่าสุดที่ให้กับสื่อนั้นมีความแตกต่างกัน โดยในคำตอบที่ให้กับ ‘ฮ่องกง 01’ ทางโรงพยาบาลระบุว่า ในสองครั้งแรกที่ญาติขอความช่วยเหลือจากพยาบาล พยาบาลได้สังเกตอาการทางคลินิกของผู้ป่วยและยืนยันว่าอาการคงที่

แต่ในจดหมายที่ส่งให้ญาติก่อนหน้านี้ ทางโรงพยาบาลกลับขอโทษที่พยาบาลไม่ได้ประเมินอาการผู้ป่วยเพิ่มเติมอย่างทันท่วงที และระบุว่าได้ให้ข้อติชมและคำแนะนำอย่างเข้มงวดกับพยาบาลที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งทีมงานที่เกี่ยวข้องได้ทำการทบทวนตนเองอย่างลึกซึ้ง

บุตรชายของผู้เสียชีวิตกล่าวว่า ไม่ได้ต้องการค่าชดเชยจากทางโรงพยาบาล เพียงต้องการความเป็นธรรมเท่านั้น พ่อจากไปแล้ว หวังว่าโรงพยาบาลจะได้บทเรียน อย่าให้มีคนที่สองต้องเป็นเหมือนพ่อของผม

Advertisements

คุณพ่อของนายเลียงอายุ 80 ปี เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลคริสเตียนยูไนเต็ดเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือด (ภาวะเซปซิส) และไตวายเฉียบพลัน หลังจากได้รับการรักษาอาการดีขึ้นและมีอาการคงที่ จึงถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลหลิงซัตในวันที่ 17 สิงหาคม เพื่อรับการฟื้นฟูต่อ

เขาเล่าว่าหลังจากพ่อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลหลิงซัต อาการก็คงที่ในระยะหนึ่ง และมีกำหนดออกจากโรงพยาบาลในวันที่ 28 สิงหาคม แต่ต่อมาอาการมีการแปรปรวนเล็กน้อย จึงเลื่อนแผนการออกจากโรงพยาบาล จนกระทั่งวันที่ 30 สิงหาคม แพทย์เจ้าของไข้ได้แจ้งกับเขาอีกครั้งว่าพ่อของเขาไม่มีปัญหาร้ายแรงแล้ว

นายเลียงเล่าว่า เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม เขาไปเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาลในช่วงเวลาเยี่ยมไข้ก่อนเที่ยง พบว่าพ่อดูไม่มีเรี่ยวแรง มีอาการทุกข์ทรมาน ไม่ลืมตา เรียกก็ไม่ตอบสนองหรือตอบสนองช้า และสังเกตเห็นว่าน้ำเกลือหยดช้ามาก ‘หยดช้าจนประมาณ 30 วินาทีถึงจะหยดครั้งหนึ่ง’ ด้วยความเป็นห่วง เขาจึงขอความช่วยเหลือจากพยาบาลถึงสามครั้งในช่วงเวลา 45 นาที เพื่อขอให้มาดูอาการ

นายเลียงเล่าว่า สองครั้งแรกที่พยาบาลเข้ามาในห้อง พยาบาลยืนห่างจากเตียงผู้ป่วยประมาณหนึ่งเมตร และบอกเพียงว่า ‘น้ำเกลือก็แบบนี้แหละ’ ‘ไม่มีอะไร’ และ ‘เป็นเรื่องปกติ’ โดยไม่ได้สังเกตอาการของพ่อเขาอย่างละเอียด

จนกระทั่งครั้งที่สาม นายเลียงต้องเดินไปที่เคาน์เตอร์พยาบาลเพื่อขอพบแพทย์เจ้าของไข้ แต่พยาบาลแจ้งว่าแพทย์กำลังดูแลผู้ป่วยคนอื่นอยู่

นายเลียงออกจากโรงพยาบาลเมื่อใกล้สิ้นสุดเวลาเยี่ยมไข้ประมาณ 13.00 น. แต่เพียงแค่ 15 นาทีหลังจากนั้น เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลแจ้งว่าพ่อของเขาหัวใจหยุดเต้น เขารีบกลับไปที่โรงพยาบาลทันที แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถช่วยชีวิตพ่อของเขาได้

เขาวิพากษ์วิจารณ์ว่าพยาบาลเพิกเฉยต่อการขอความช่วยเหลือ มีทัศนคติที่ไม่ใส่ใจ ทำให้เสียเวลาในการช่วยชีวิตไปเกือบหนึ่งชั่วโมง ‘ผมโกรธมากจริงๆ และได้ต่อว่าไปว่า พวกคุณเป็นหมออะไรกัน ตอนที่ผมกำลังจะกลับ ผมบอกพยาบาลตั้งสามครั้งว่าพ่อไม่ไหวแล้ว แต่ก็ไม่มีใครมาดูสักคน

เกี่ยวกับการร้องเรียนดังกล่าว โรงพยาบาลหลิงซัตได้ตอบกลับสื่อ ‘ฮ่องกง 01’ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งคำตอบมีความแตกต่างจากจดหมายชี้แจงที่ทางโรงพยาบาลส่งให้ครอบครัวนายเลียงเมื่อปลายเดือนกันยายน

ในจดหมายถึงญาติ แม้ทางโรงพยาบาลจะระบุว่าทีมแพทย์ได้ให้การรักษาและการพยาบาลที่เหมาะสมตามอาการทางคลินิกและพัฒนาการของโรคระหว่างที่ผู้ป่วยพักรักษาตัว แต่ก็ยอมรับว่าเมื่อญาติขอความช่วยเหลือจากพยาบาลถึงสองครั้ง พยาบาลกลับไม่ได้ทำการประเมินอาการผู้ป่วยเพิ่มเติมอย่างทันท่วงที ซึ่งทางโรงพยาบาลขอแสดงความเสียใจในเรื่องนี้ และได้ให้ข้อติชมและคำแนะนำอย่างเข้มงวดกับพยาบาลที่เกี่ยวข้อง ทีมงานก็ได้ทำการทบทวนตนเองอย่างลึกซึ้ง และทีมผู้บริหารจะยึดถือกรณีนี้เป็นบทเรียน

ในอีเมลตอบกลับสื่อ ‘ฮ่องกง 01’ ทางโรงพยาบาลชี้แจงว่า ในสองครั้งแรกที่มีการขอความช่วยเหลือ พยาบาลได้เดินไปที่เตียงผู้ป่วยเพื่อสังเกตอาการทางคลินิก และยืนยันว่าสภาพทางคลินิกของผู้ป่วยคงที่ พร้อมทั้งแจ้งกับญาติว่าแพทย์เจ้าของไข้ได้ตรวจอาการผู้ป่วยอย่างละเอียดในช่วงเช้าของวันนั้น โดยขณะนั้นผู้ป่วยไม่มีไข้ ความดันโลหิต ชีพจร และการหายใจเป็นปกติ ไม่จำเป็นต้องใช้ออกซิเจนช่วย

ทางโรงพยาบาลยังระบุว่าเข้าใจความกังวลของญาติที่พยาบาลเพียงแค่สังเกตอาการที่เตียงโดยไม่ได้ทำการประเมินเพิ่มเติม ซึ่งไม่เป็นไปตามความคาดหวัง และยังระบุว่า ‘เข้าใจว่าครอบครัวยากที่จะยอมรับได้กับการที่อาการของนายเลียงทรุดลงอย่างกะทันหันในเวลาอันสั้นจนนำไปสู่การเสียชีวิต’ ทั้งนี้ ในการตอบกลับไม่ได้มีการกล่าวถึงการให้ข้อติชมและคำแนะนำอย่างเข้มงวดกับพยาบาลแต่อย่างใด

นายเลียงเล่าว่า ในการประชุมกับตัวแทนโรงพยาบาลภายหลัง ทางโรงพยาบาลได้กล่าวคำขอโทษและยอมรับว่ามีความล่าช้าในการรักษา แต่เมื่อเขาขอให้มีการขอโทษเป็นลายลักษณ์อักษร หรือแม้แต่การบันทึกเสียงคำขอโทษ ทางโรงพยาบาลก็ไม่ยินยอม แม้แต่การขอให้ทางโรงพยาบาลส่งพวงหรีดไปในงานศพของพ่อเขา ก็ถูกปฏิเสธเช่นกัน

นายเลียงกล่าวว่า เขาไม่ได้ต้องการค่าชดเชยจากทางโรงพยาบาล เพียงแต่หวังที่จะได้รับความเป็นธรรมเท่านั้น

โรงพยาบาลหลิงซัตชี้แจงเพิ่มเติมว่า ในเวลา 10.30 น. ของวันนั้น แพทย์เจ้าของไข้ได้ตรวจผู้ป่วยอย่างละเอียดและเห็นว่าสภาพทุกอย่างปกติ แต่เมื่อถึงเวลา 13.05 น. บุคลากรทางการแพทย์พบว่าผู้ป่วยหมดสติ หลังพยายามช่วยชีวิต ผู้ป่วยได้เสียชีวิตในเวลา 14.22 น. ทางโรงพยาบาลได้ส่งเรื่องให้ผู้พิพากษาไต่สวนการตายดำเนินการต่อไป

นายเซีย เกินเกียง ประธานสมาคมพยาบาลกล่าวว่า แม้จะไม่ทราบสถานการณ์ในตอนนั้น แต่โดยทั่วไปแล้ว เมื่อพยาบาลได้รับการขอความช่วยเหลือจากญาติ จะต้องไปที่เตียงผู้ป่วยเพื่อสังเกตอาการ รวมถึงตรวจสอบระดับการรู้สติ สัญญาณชีพ และต้องสังเกตว่าผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาลด้วยสาเหตุใด มีอาการแตกต่างจากก่อนหน้านี้หรือไม่ และต้องเฝ้าสังเกตอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด หากมีข้อสงสัยหรือกรณีฉุกเฉิน ต้องรีบตามแพทย์มาช่วยทันที

เขากล่าวว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ยังคงขาดแคลนพยาบาล โดยในหอผู้ป่วยสามัญ พยาบาลหนึ่งคนต้องดูแลผู้ป่วย 8-12 คน ซึ่งถือว่ามากเกินไป รัฐบาลได้ออกระเบียบพิเศษเพื่อดึงดูดพยาบาลจากต่างประเทศ แต่ก็ยังหวังว่าจะสามารถเพิ่มหลักสูตรปริญญาทางการพยาบาลให้มากขึ้น เพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่เข้าสู่วิชาชีพ

อ้างอิง : www.hk01.com

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

Bas

ผู้สื่อข่าวกีฬา จบการศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มีประสบการณ์เขียนข่าวกีฬากับ SMMSport กว่า 10 ปี เริ่มทำงานกับ Thaiger เมื่อ 2021 ชอบและติดตามกีฬามาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะฟุตบอลทั้งบอลไทย และต่างประเทศ 5 ลีกดังของโลก พร้อมอัปเดตข่าวสารวงการฟุตบอล แบบเข้าใจง่าย ให้เพื่อนๆและแฟนบอลได้ติดตามกันทุกวัน ช่องทางติดต่อ saral@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button