เคล็ดลับ Water fasting คืออะไร วิธีอดอาหารเพื่อให้เซลล์กินตัวเอง
เผยขั้นตอนสุขภาพ วิธีวอเตอร์ ฟาสติ้ง (Water Fasting) หรือการอดอาหารและดื่มน้ำอย่างเดียวติดต่อกัน 1-3 วัน ช่วยลดน้ำหนัก และดีท็อกซ์ของเสียออกจากร่างกายได้ แต่ก็มีความเสี่ยงหลายประการที่อาจอันตรายถึงชีวิต
หลังจากก่อนหน้านี้ นุ่น-สินิทธา บุญยศักดิ์ นางเอกดังยุค 90 ได้ออกมาเล่าในรายการ “On the way with Chom” ที่ออกอากาศในวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา เผยว่าตนเองใช้ วอเตอร์ ฟาสติ้ง (Water Fasting) รักษาเนื้องอกในมดลูก และมีผลลัพธ์ที่ดีขึ้นจริง เพราะทำการฟาสติงด้วยวิธีนี้เพียง 3 วัน ประจำเดือนก็กลับมาเป็นปกติ อีกทั้งแพทย์ยังแจ้งผลการตรวจร่างกายหลังทำฟาสติง ว่าก้อนซีสต์ในร่างกายเธอยุบตัวลงด้วย
วันนี้ The Thaiger จึงหาคำตอบที่หลายคนสงสัยเกี่ยวกับการทำ Water Fasting รวมถึงความเสี่ยงและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ หากทำฟาสติงโดยที่ร่างกายไม่พร้อมมาไว้ในบทความนี้
การฟื้นฟูร่างกายด้วย Water Fasting
Water Fasting คือ การอดหารและดื่มได้เพียงน้ำเท่านั้น หลายคนนำวิธีนี้ไปใช้เพื่อลดน้ำหนัก เนื่องจากเห็นผลที่ชัดเจนได้ภายในระยะเวลาในระยะเวลาสั้น ๆ ในอดีตการอดอาหารและดื่มน้ำอย่างเดียวเช่นนี้ เคยมีขึ้นตั้งแต่สมัยคริสกาล แต่เป็นสิ่งที่ทำเพื่อเป้าประสงค์ทางศาสนาตามความเชื่อเท่านั้น
ในปัจจุบันนี้ Water Fasting กลายเป็นเทรนด์สำหรับการลดน้ำหนักและรักษาอาการของโรคบางอย่าง แม้จะมีงานศึกษาที่สนับสนุนว่า Water Fasting ช่วยลดน้ำหนักและฟื้นฟูร่างกายได้จริง แต่การอดอาหารเป็นระยะเวลาหลายวัน ก็ทำให้เกิดข้อถกเถียงเรื่องภาวะขาดสารอาหาร หรือความเสี่ยงที่อาจมีมากกว่าประโยชน์ ซึ่งจะมีผลลัพธ์ที่ดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้ที่อดอาหารเป็นสำคัญ
โดยส่วนใหญ่ผู้ทำ Water Fasting จะอดหารติดต่อกันและดื่มเพียงน้ำเปล่าเป็นเวลาติดกัน 1-3 วัน หรือประมาณ 24 – 72 ชั่วโมง และตลอดระยะการทำ Water Fasting จำเป็นต้องดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกายเฉลี่ยวันละ 2-3 ลิตร โดยการทำ Water Fasting นี้ไม่สามารถลุกขึ้นมาทำได้ทันที แต่ต้องเตรียมตัวล่วงหน้าอย่างน้อย 3-4 วันเพื่อให้ร่างกายพร้อมต่อการทำฟาสติง โดยอาจเริ่มจากการลดปริมาณอาหารต่อวันลง เพื่อให้กระเพาะอาหารคุ้นชินก่อนทำการอดอาหารเป็นเวลานาน
ประโยชน์และข้อควรระวังของ Water Fasting
Water Fasting ช่วยกระตุ้นให้เกิดกลไกออโตฟาจี (autophagy) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำให้เซลล์ในร่างกายย่อยสลายและนำส่วนประกอบของเซลล์กลับมาใช้ใหม่ หรือเกิดการกินตัวเอง การทำฟาสติงด้วยวิธี อดอาหารและดื่มแค่น้ำ จึงช่วยกำจัดเซลล์เก่าที่ไม่ดีและฟื้นฟูเซลล์ใหม่ภายในร่างกายได้
บางคนเรียกวิธีการเช่นนี้ว่า ‘การล้างพิษ’ ซึ่งเป็นแนวความคิดเดียวกับการดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาโรคต่าง ๆ เพราะเชื่อว่าการกินแค่น้ำมะนาวติดต่อกันหลายวัน จะช่วยขับสารพิษหรือสิ่งไม่ดีออกจากร่างกายได้
แน่นอนว่าหลายคนที่ได้ทดลองทำ Water Fasting ต่างออกมายืนยันผลลัพธ์ที่ดี เนื่องจากการตอบสนองของร่างกายต่อการอดอาหารด้วยวิธีนี้ ช่วยปรับสมดุล และรีเซ็ตระบบในร่างกายได้ดี เสริมสร้างระบบเผาผลาญ เป็นเหตุให้น้ำหนักลดลง และช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลิน รวมถึงเลปตินดีขึ้นด้วย ทั้งยังมีกรณีศึกษาบางรายที่เสนอว่าวิธี Water Fasting ช่วยลดสาเหตุที่อาจก่อให้เกิดโรคเรื้อรังได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางประโยชน์มากมายของ Water Fasting ก็มีความเสี่ยงที่อันตรายเช่นกัน เพราะการอดอาหารทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย หากรู้สึกว่าเริ่มทำฟาสติงต่อไปไม่ไหวควรหยุดทำทันที และเมื่อกลับมากินอาหาร ควรเริ่มจากการกินอาหารที่มีประโยชน์ เป็นอาหารที่ย่อยง่าย และค่อย ๆ กินในปริมาณไม่มาก เพื่อให้ร่างกายมีเวลาปรับสมดุล โดยขั้นตอนปรับตัวหลังทำ Water Fasting เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะหากกินอาหารที่ย่อยยาก หรือมีปริมาณมากเกินไปจนร่างกายปรับสภาวะไม่ทัน อาจมีความเสี่ยงจนทำให้ถึงแก่ชีวิตได้
ข้อควรระวังอีกอย่างหนึ่ง คือ ผลข้างเคียงระหว่างการทำฟาสติง เมื่ออดอาหารไประยะหนึ่งอาจทำให้รู้สึกวิงเวียนศีรษะ มึนงง รู้สึกไม่ค่อยมีแรง และเสี่ยงต่อการเป็นลม จึงต้องระมัดระวังอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากอาการเหล่านี้ได้ รวมถึงผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสียง เช่น ผู้ป่วยโรคเกาต์ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้สูงอายุ และสตรีมีครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำฟาสติงทุกประเภท เช่นเดียวกับบุคลที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง แต่ไม่เคยทำฟาสติงมาก่อน ควรตรวจสอบสภาพร่างกายว่าพร้อมต่อการอดอาหารหรือไม่ และเข้ารับคำแนะนำจากแพทย์ทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- นศ.แพทย์ แชร์ทริก ลดน้ำหนัก 14 กิโลใน 1 ปี กำจัดไขมันพอกตับด้วย 3 ขั้นตอนง่าย ๆ
- ‘อ.เจษฎา’ เตือนอันตราย ‘รีฟีดดิ้ง ซินโดรม’ ภาวะหลังเลิกอดข้าว และกลับมากินใหม่
- ผลวิจัยช็อก ทำ IF 16/8 เสี่ยงตายด้วยโรคด้วยใจ เพิ่ม 91% เผยกลุ่มเสี่ยงสูงสุด
อ้างอิง : Healthline