ข่าว

‘บิ๊กโจ๊ก’ ลั่น ‘ผมไม่หมู’ แจงเส้นทางการเงินละเอียด เตรียมยื่นสอบปมละเมิดอำนาจศาล

บิ๊กโจ๊ก ให้สัมภาษณ์กลางรายการ ผมไม่หมู แจงยิบเส้นทางการเงิน เตรียมยื่นสอบปมละเมิดอำนาจศาล ฝากถึงตำรวจพฤติกรรมแบบนี้ฉ้อฉล ทำแบบนี้ไม่ได้

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ในรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ของนาย สรยุทธ สุทัศนะจินดา หลังถูกตำรวจไซเบอร์ค้นบ้านและจับกุมลูกน้องของบิ๊กโจ๊กไป 8 ราย โดยระบุว่าเกี่ยวข้องกับพนันออนไลน์ตามที่มีการรายงานไปก่อนหน้านี้นั้น

บิ๊กโจ๊ก ระบุว่า รู้แล้วว่ากระบวนการทำงานเริ่มจากตรงไหน ไม่เป็นไร หลังจากนี้ก็ว่ากันไปตามกระบวนการของกฎหมาย เมื่อลูกน้องของตนประกันตัวออกมาก็จะต้องมาถามดู ตนก็เข้าใจได้ว่า คือ ประเด็นหลักมองว่า ตนให้เจ้าของเว็บพนันมาดูแลค่าใช้จ่ายในส่วนตัวของตน ซึ่งอันนี้เท่าที่ตนดูจากชาร์จ คือเรื่องนี้เมื่อวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมาตนก็ทราบแล้วว่าเขาก็เอาตรงนี้มาเป็นประเด็น

ตนก็ขอเรียนว่า ในส่วนของตน คือ 1.เงินที่เห็นมันใช่เยอะแยะ เงินเว็บพนันมันต้องเป็น 100 ล้าน แต่ไอ้เงินแบบนี้มันเป็นเงินส่วนตัว มันเป็นค่าใช้จ่ายของตน และต้องเรียนว่า ตนมีลูกน้องอยู่คนหนึ่ง เป็น “รองผกก.” ที่อยู่กับตนมานานแล้ว เวลาที่ตนจะใช้จ่ายอะไร หมายความว่า ตนก็ให้เงินเขา เขาก็ไปโอนจ่ายค่ารักษาพยาบาล จ่ายค่าโทรศัพท์ หรือค่าอะไรต่าง ๆ

แต่ประเด็นหลักคือ ตนจะต้องถามเขาว่า เขาไปใช้บัญชีม้า บัญชีของใครต่าง ๆ ทำไมต้องไปใช้ตรงนี้ เพราะในเมื่อเงินของตนมันถูกกฎหมาย ฉะนั้นวันนี้รายละเอียดทั้งหมดต้องรอเขาประกันตัวออกมา และตนจะถามจากเจ้าตัว หมายความว่า ในเมื่อเงินของตนมันถูกต้อง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ถามว่าไอ้ยิบย่อยที่เห็น ค่ารักษาพยาบาลแม่ 2 ล้านกว่า ซึ่งอันนี้มันไม่ได้มาก ที่ไม่มากเพราะตนไม่ได้จ่ายครั้งเดียว จ่ายเดือนหนึ่ง 20,000 บาท 30,000 บาทเดือนหนึ่ง บางครั้งแม่ของตนก็จ่ายเอง ส่วนใหญ่เราก็จ่ายให้ เราไม่จ่ายให้แม่เราจะไปจ่ายให้ใคร ซึ่งตนก็ตอบที่ไปที่มาของเงินนั้นได้หมด

“คืออย่างนี้ผมไม่เคยให้เงินภาคภูมิไปใช้จ่าย ผมก็เลยสงสัยว่า คืออย่างนี้ เวลาผมให้เงิน ผมให้กับรองผู้กำกับ แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่า รองผู้กำกับทำไมต้องไปเอาเงินจากภาคภูมิ เพราะว่าไอ้เงินพวกนี้ ผมต้องเรียนว่า ไอ้เงินเว็บพนันเนี่ย ถ้าผมรับเงินเว็บพนันมันจะไม่ใช่ยอดแค่นี้หรอกครับ มันต้องเป็น 100 เป็น 50 เรารู้กันอยู่ แต่นี่มันเป็นบัญชีส่วนตัวผม เดี๋ยวส่วนนี้เมื่องรองภาคภูมิ ลูกน้องผม และรองผู้กำกับเขาออกมาเนี่ย ผมก็ต้องเอาเขามาซักถามว่า ไอ้ธุรกรรมระหว่างเขา 2 คนมันคืออะไร” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว

ส่วนที่ตนไปยืนร้องเพลงกับมินนี่ เจ้าแม่พนัน ก็ต้องขอเรียนว่า วันนั้นหลังจากเสร็จงานเผาศพของพ่อตนสัก 2 วัน ตนก็เลี้ยงขอบคุณลูกน้อง จึงไปไล่ย้อนหลังก็เลยรู้แล้วว่า ลูกน้องตนเป็นคนเอามินนี่มา ซึ่งตนก็เจอมินนี่วันนั้นที่งาน แต่ตนก็ไม่มีเบอร์โทรศัทพ์ ไม่ติดต่อเขา คือไม่รู้จัก แต่ทีนี้ว่างานเราเป็นงานเปิด วันนั้น นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ก็มา เพราะฉะนั้นอันนี้มันเป็นการจับความสัมพันธ์ที่ไปเกี่ยวโยงเพื่อจะให้มาถึงตน

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า การค้นบ้าน เหมือนการที่หัวหน้าชุดค้นเขาบอกว่า เขาค้นเพื่อจับกุมตัวบุคคลตามหมายจับ ทีนี้ตนต้องดูว่าบุคคลตามหมายจับคือนายตำรวจติดตามพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ฉะนั้นเขาจะบอกว่า เขาไม่รู้ว่าบ้านหลังนี้ใครอยู่มันเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น วันนี้ตนจะไปยื่นศาลเพื่อยื่นเรื่องละเมิดอำนาจศาล ให้ศาลสั่งไต่สวน

การกระทำดังกล่าว มันเป็นการปกปิดข้อเท็จจริงศาลทั้งหมด พูดง่าย ๆ ว่า มันเป็นการหลอกศาล ไม่ได้บอกว่าบ้านหลังนี้ตนอยู่ เพราะการที่เขาออกหมายจับเพื่อมาจับกุมตัว พ.ต.ต.ชานนท์ อ่วมทร ซึ่งเป็นสารวัตรที่ติดตามตน เพราะฉะนั้นใครจะไม่รู้บ้างว่า พ.ต.ต.ชานนท์อยู่บ้านหลังนี้ และใครอยู่บ้านหลังนี้ โอเคหล่ะ คือ อาจจะบอกว่า “ผมจะไปรู้ได้ไงว่าท่านอยู่บ้านหลังนี้” ก็ไม่เป็นไร แต่ว่าอันนี้เป็นนายตำรวจติดตามตน

เมื่อถามว่า เป็นไปไม่ได้เลยใช่หรือไม่ที่ตำรวจชุดจับกุมหรือผู้บังคับบัญชาจะไม่รู้ว่าบ้านนี้เป็นบ้านของท่าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ใช่ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าคือไปหลอกศาลเขา ตนรู้ว่า ถ้าบอกศาลไปว่าเป็นบ้านของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ศาลก็ไม่ออกหมาย ก็คือบ้านนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และยกมาโอ้โหเป็นกองกำลังเป็นคอมมานโด

ตนจึงบอกว่า มันเป็นเรื่องการเมืองภายในตร. เมื่อวานตนรู้ละ ซึ่งตนก็ไล่ถามลูกน้องตนว่า การเงินมันเกี่ยวข้องกับตนอย่างไร เพราะตนทำงานมีแต่ปราบเว็บพนัน ถ้าตนรับเงินเว็บพนันความจริงมันปกปิดกันไม่ได้หรอก วันนี้ไปเรียกมินนี่มาถาม มินนี่ก็ยังไม่รู้จักตนหรอก

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า เวลาที่ออกหมายจับ หากเป็นคดีธรรมดา ศาลจะถามว่า คดีนี้เคยออกหมายจับหรือยัง ถ้าออกหมายจับแล้วศาลก็จะไม่ออก เหมือนกันที่ศาลอาญากรุงเทพฯใต้ ไปขอหมายจับลูกน้องตนซึ่งใช้ “นาย” หมด เพื่อปกปิดไม่ให้ศาลรู้ว่าเป็น “พล.ต.ต.” เป็น “พ.ต.อ.” ซึ่งใช้ชื่อตามหมายจับใช้ “นาย” หมดเลย ไม่ใส่ยศตำรวจ ซึ่งอันนี้เป็นข้อสังเกต ปกติเขาไม่ทำกันแบบนี้ เพระเวลาตนไปขอหมายจับใคร ตนก็ใส่ยศ แล้วศาลก็ตีกลับมาทุกที ให้ไปออกหมายเรียกก่อน เพราะเขาเป็น พ.ต.อ. เขามีตำแหน่ง ถิ่นที่อยู่ที่แน่นอน เขาไม่ได้หลบหนีไปไหน

แต่อันนี้ตนต้องเรียนว่า มันส่อพิรุธ ไปใช้เป็น “นาย” หมด เพราะฉะนั้นขอหมายจับลูกน้องของตนใช้เป็นนายหมด ซึ่งเป็นอันนี้ข้อแรก ข้อสอง ขอหมายค้นบ้านตนก็ไม่บอกเป็นบ้านตน ซึ่งวันนี้ตนจะยื่นศาลเพื่อขอให้ศาลให้ความเป็นธรรมสั่งไต่สวนเรื่องการละเมิด ซึ่งตนมองว่าเรื่องนี้เป็นการปกปิดข้อเท็จจริงอันควรนำเรียนให้ศาลทราบ

“ผมต้องเรียนเลยว่า ต่อไปถ้าทำอย่างนี้ศาลก็แหยงตำรวจหมด ก็เหมือนศาลถูกหลอก แล้วต่อไปตำรวจจะทำงานยากขึ้น เวลาไปขอหมายศาลก็จะให้ยากขึ้น” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวและว่า เมื่อวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา ตนได้โทรคุยกับ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ซึ่งตนกับผบ.ตร.สนิทกัน ก็ได้บ่นพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ซึ่งพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ก็ได้บอกตนว่า เดิมทีเรื่องนี้มารายงานให้ตนทราบแล้ว แต่ว่ามาบอกพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ว่า ก่อนจะเข้าจะมารายงานให้ ผบ.ตร.ทราบก่อน แต่ทีนี้เข้าไปเลยและมารายงานทีหลัง

วันนี้ผมจะอยู่ไม่อยู่ไม่สำคัญ ผมจะอยู่ตรงไหนไม่สำคัญ แต่ว่าผมต้องทำให้สังคมรู้ ผมต้องทำให้องค์กรรู้ว่าไอ้แบบอย่างเงี้ย มันเป็นการฉ้อฉล คุณจะมาทำแบบนี้ไม่ได้ แบบนี้เรียกวิชาโจร เพราะฉะนั้นนี่ขนาดผมเป็นรองผบ.ตร.ยังโดนขนาดนี้ ถ้าชาวบ้านก็เลิกเลย แล้วเหมือนกันไอ้เรื่องเงินก็เหมือนกัน ถามว่าไปดูสิครับ ไอ้เงินหมื่นกว่า จ่ายค่าโทรศัพท์ 3 หมื่น มันมีใครเขา ถ้ารับเงินเว็บพนันกันขนาดนี้ ถามว่าผมเป็นรองผบ.นะครับ ผมทำเรื่องเส้นเงินกันมาตลอด ผมไม่หมูขนาดนี้ที่จะให้ใครโอนเงินเส้นเงินไอ้ตังค์ไม่เท่าไหร่มาตรงนี้” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว

อ่านข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

 

Nateetorn S.

ผู้สื่อข่าว ทำงานกับ Thaiger มาตั้งแต่ปี 2020 จบการศึกษาจากคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสคร์ เคยทำงานกับสถานีโทรทัศน์อันดับ 1 ของประเทศ ทำให้มประสบการณ์ความเชี่ยวชาญ เจาะประเด็นข่าวการเมืองอาชญากรรม ข่าวแปลกๆ เรื่องน่าสนใจจากต่างประเทศ ช่องทางติดต่อ tee@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

Back to top button