‘มานพ’ ให้การ ดาบตำรวจอรรถพร คลุ้มคลั่งหลังยิงพ่อตา ฆ่าลูกตายคารถ
มานพ หนึ่งในผู้ร่วมก่อเหตุ ยิงถล่มสุราษฎร์ธานี ให้การกับบิ๊กโจ๊กว่า ดาบตำรวจอรรถพร คลุ้มคลั่งหลังยิงพ่อตา ก่อเหตุฆ่าลูกตายคารถ
จากกรณีที่ ด.ต.อรรถพร วิเชียร ยิงถล่มสุราษฎร์ธานี ในพื้นที่ ม.8 ต.กะเปา อ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี และนำไปสู่การดวลปืนระหว่างทั้งสองฝ่าย และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตในพื้นที่ 4 ศพ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะพบศพลูกและภรรยาของ ด.ต.อรรถพร ถูกดาบตำรวจยิงเสียเสียชีวิตในเวลาต่อมา ดังที่มีการรายงานไปก่อนหน้านี้นั้น
มานพ หนึ่งในผู้ก่อเหตุยิงถล่มอดีตผู้ใหญ่บ้านที่ถูกจับกุม ขณะหลบหนีไปอยู่ในพื้นที่ จ.พังงา ได้ให้การกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ว่าก่อนเกิดเหตุก็ไม่รู้ว่า ด.ต.อรรภพร จะชวนไปยิงถล่มกับ นายธรรมรงค์ พ่อตา เมื่อไปถึง ด.ต.อรรภพร ได้เข้าไปในบ้าน ก่อนมีปากเสียงกับ นายธรรมรงค์
จึงได้ไปหยิบอาวุธปืนในรถออกมายิงใส่ นางนิลทิพย์ ปาลคะเชนทร์ อายุ 48 ปี ภรรยาของ นายธรรมรงค์ จนเสียชีวิต ก่อนที่ และ นายธรรมรัตน์ วิเชียร จะบุกเข้าไปในบ้าน จนถูก นายธรรมรงค์ ยิงเสียชีวิต หลังจากนั้นตน และ ด.ต.อรรถพร จึงได้บุกไปยิง นายธรรมรงค์ และ นายนายพรศักดิ์ เพชรชู เสียชีวิต ก่อนที่จะหลบหนี โดยมี นายอรรถพล วิเชียร ลูกชาย ด.ต.อรรถพร เป็นคนขับรถพาหนี
บิ๊กโจ๊ก เผยว่า นายมานพ ให้การว่า ไม่ได้รู้มาก่อนว่า ดาบตำรวจอรรถพร ได้ก่อเหตุยิง น.ส.พนิดา ภรรยาของตัวเองเสียชีวิต ก่อนจะชวนตนไปก่อเหตุ และหลังก่อเหตุ ด.ต.อรรถพร มีอาการเครียดจนคุ้มคลั่ง จึงได้บอกให้ ด.ต.อรรถพร ขับรถไปส่งที่บ้าน เพราะรู้สึกกลัวว่า ด.ต.อรรถพร จะยิงตนตายอีกคน นอกจากนี้ยังทราบอีกว่า ด.ต.อรรถพร ได้ยิงลูกชายตัวเองตายในรถด้วย ทั้งนี้ นายมานพ มีประวัติเป็นมือปืนในพื้นที่ และเคยถูกจับกุมในข้อหาเกี่ยวกับคดีฆ่าและเพิ่งพ้นโทษออกมาก่อเหตุในลักษณะเดิมอีก
ในส่วนของอาวุธปืนสงครามที่ใช้ก่อเหตุ ต้องรอให้จับกุมตัว ด.ต.อรรถพร ให้ได้ก่อน ว่าเป็นปืนที่ได้มาจากไหน ถ้าหากเป็นอาวุธปืนของทางราชการ ก็จะต้องตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง ว่าใครเป็นคนเบิกมาใช้ โดยจะตรวจสอบย้อนหลังไปถึงสาม ผกก. ถ้าพบความผิดก็จะต้องลงโทษตามระเบียบทางราชการ ในส่วนของ ผกก.สภ.คีรีรัฐนิคม ทางผบช.ภ.8 ได้มีคำสั่งให้ไปช่วยราชการที่ ศปก.ภาค 8 เนื่องจากปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาให้ก่อเหตุอุกฉกรรจ์ในพื้นที่
ส่วนที่ ด.ต.อรรถพร ส่งข้อความไลน์ไปหาคนใกล้ชิดและประกาศจะยอมตายนั้น เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมต้องปฎิบัติตามขั้นตอน ถ้าหากเกิดการประทะ เนื่องจากคนร้ายยังมีอาวุธทั้งอาวุธปืนสงครามและปืนสั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปฎิบัติตามขั้นตอน เพราะคนร้ายเป็นตำรวจและก่อเหตุกับชาวบ้าน