‘อุปกิต ปาจรียางกูร’ กล่าวทั้งน้ำตายืนยันไม่เคยเกี่ยวยาเสพติด-จีนสีเทา
อุปกิต ปาจรียางกูร แถลงทั้งน้ำตาหลังถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด จีนสีเทา ยืนยันทั้งน้ำตาไม่เคยเกี่ยวข้อง ไม่มีอำนาจย้ายตำรวจ
นาย อุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ตั้งโต๊ะแถลงหลังจากที่ก่อนหน้านี้ถูกนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายพาดพิงว่าอภิปรายกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องและพัวพันทุนจีนสีเทา มิน ลัต ขบวนการค้ายาเสพติด และให้พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เช่าอาคารเป็นที่ทำงานพรรค แถวอารีย์ซอย 5 ว่า ตนขออภัยที่แถลงข่าวช้าไปนิดหนึ่ง เพราะเกรงว่าจะเสียรูปคดี
นายอุปกิต หรือที่นาย รังสิมันต์ เรียกว่า ส.ส.ทรงเอ กล่าวว่าเมื่อนายรังสิมันต์ ได้อภิปรายในสภาฯ ทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจผิด สื่อดังกล่าวและนายรังสิมันต์ได้ตัดสินตนไปแล้วว่าตนผิด ตอนแรกตนคิดว่าเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว ซึ่งผมมีความเชื่อมั่นและจะไม่ละเมิดหรือก้าวล่วง ดังนั้นจะไม่กล่าวถึงมากนักเนื่องจากฝ่ายศาล อัยการและตำรวจได้ออกมาชี้แจงไปแล้ว
อย่างไรก็ดีผมขอพูดเล็กน้อยเกี่ยวกับคดีลูกเขยของตน โดยตามหมายจับลงวันที่ 9 กันยายน 2565 และบันทึกจับกุมลงวันที่ 19 กันยายน 2565 ระบุว่าลูกเขยของผมมีพฤติกรรมหลบหนีมาอยู่บ้านพักซอยสุขุมวิท 69 ซึ่งเป็นบ้านของผมและมีชื่อตนเป็นเจ้าของ ลูกเขยของผมได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านนั้นมานานแล้ว
ในขณะจับกุมตัวก็ได้เดินเล่นกับลูกเล็กอยู่ ซึ่งคือหลานของผมเอง หากผมเป็นคนที่มีอิทธิพลอย่างที่ว่า คงจะช่วยตั้งแต่วันนั้นแล้ว ไม่ต้องให้ลูกเขยผมอยู่ในเรือนจำถึงวันนี้เป็นเวลา 7 เดือนแล้ว หลานของผมร้องไห้ทุกวัน และลูกสาวของผมก็โทรมาหาทุกวัน ซึ่งผมช่วยอะไรไม่ได้ นายอุปกิตกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือก่อนที่จะต้องหยุดเช็ดน้ำตา
ยืนยันว่าตนไม่มีอำนาจจะสั่งย้ายใคร หรือกดดันให้ย้ายใครได้ เรียนให้ทราบว่า พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ ในฐานะสารวัตรที่ทำคดีทุน มิน ลัต และพวกโดนย้ายเนื่องจากเป็นการย้ายไปตามรอบ และไม่มีผลงานใน 3-4 เดือน เพราะมีแค่คดีทุน มิน ลัต การย้ายในครั้งนี้ไม่ได้ย้ายเพื่อลงโทษแต่ย้ายไปในตำแหน่งใกล้เคียงกัน ถ้าตนมีอิทธิพลจริง ก็คงจะย้ายเขาออกไปไกล อีกทั้งตำรวจชุดนี้ ไม่ได้รับคดีไว้ตั้งแต่ก่อนถูกย้ายแล้ว แล้วจะหาว่าตนทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ได้
นายทุนมินลัต ไม่สามารถเข้าออกประเทศไทยได้ แต่ยังไม่ทำเรื่องภาษีก็ถูกจับกุมเสียก่อน ข่าวกลุ่มบริษัท ALLURE เป็นเรื่องเกี่ยวกับการซื้อขายไฟฟ้าเท่านั้นไม่เกี่ยวกับธุรกิจอื่น แต่ตำรวจนครบาลกล่าวหาว่าบริษัท ALLURE แปรค่ายาเสพติดเป็นกระแสไฟฟ้า แล้วจ่ายค่ายาเสพติดที่เมียนมา การซื้อขายไฟฟ้าจาก กฟภ. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ และส่งไปยังคณะกรรมการไฟฟ้า ซึ่งเป็นรัฐวิสากิจเมียนมามีสัญญาซื้อขายไฟอย่างชัดเจน และถูกต้องตามกฎหมาย เป็นการจ่ายเงินค่าไฟฟ้าตามใบแจ้งหนี้ของ กฟภ. และรับเงินค่าไฟฟ้าจากคณะกรรมการไฟฟ้าเมียนมา ก็รับตามใบแจ้งหนี้ตามที่กำหนดไว้ในสัญญา ทุกอย่างจึงถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้นท่านคิดว่ามีความสมเหตุสมผลในการฟอกเงินหรือไม่ ถ้ายืนยันนั้นผมจะอธิบายไม่ได้
ตอนท้ายนายอุปกิตยังได้หลับตาพนมมือและกล่าวว่า “ผมขอสาบาน ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิในสากลโลก ว่าผม และครอบครัว ไม่เคยทำธุรกิจยาเสพติดอย่างที่โดนกล่าวหา ไม่คิดจะทำ และไม่มีวันทำ แต่หากใครใส่ร้าย และกล่าวหาผม และครอบครัวผม ขอให้ท่านเหล่านั้นและครอบครัว ประสบความวิบัติและมีอันเป็นไป
ตระกูลของผม ปาจรียางกูร ได้รับใช้ชาติมานาน คุณพ่อผมได้รับใช้ชาติในตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยหลายประเทศ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศมา 3 สมัย และเราสำนึกในบุญคุณแผ่นดินเกิด ผมมีหน้าที่ตอบแทนคุณแผ่นดิน ผมไม่มีวันทรยศต้นตระกูลผม ทำลายชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลที่สั่งสมกันมายาวนานเด็ดขาด เพราะนี่คือเกียรติยศ ผมรักยิ่งกว่าชีวิตผม ผมจะตอบทุกคำถามเลยครับ วันนี้จะพยามเคลียร์ทุกอย่าง”