รถยนต์ไฟฟ้า พระเอกช่วยสิ่งแวดล้อมจริงหรือไม่ เปิดข้อดี ข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมเหตุผลที่จับต้องได้จริงว่า ทำไมรถยนต์ไฟฟ้าถึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในปี 2023
รถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถ EV มีชื่อเต็มในภาษาอังกฤษว่า Electric Vehicle เป็นพาหนะยานยนต์ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในต่างประเทศ รวมถึงตลาดรถยนต์ในประเทศไทยด้วยเช่นกัน โดยรถยนต์ประเภทนี้จะขับเคลื่อนด้วยกำลังไฟฟ้า จะกล่าวว่าเป็นรถยนต์เพื่อสิ่งแวดล้อมก็ไม่ผิดนัก
สำหรับยี่ห้อรถยนต์ไฟฟ้าที่หลายคนน่าจะเคยได้ยินผ่านหูคงไม่พ้น Tesla รถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศสหรัฐอเมริกาของอีลอน มัสก์ รวมถึง ORA Good Cat จากประเทศจีน ซึ่งในปัจจุบันมีรถยนต์ไฟฟ้าที่น่าสนใจอีกหลากหลายแบรนด์เลยทีเดียว
เมื่อกล่าวถึงรถยนต์ไฟฟ้า หลายคนอาจจะยังรู้สึกไม่ค่อยน่าใช้สักเท่าใดนักในบ้านเรา เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างที่ยังไม่เอื้อต่อการใช้งาน เช่น ไม่มีจุดจอดชาร์จรถยนต์รองรับเพียงพอเมื่อต้องเดินทางไกล, ร้านรับซ่อมไม่มีอะไหล่พร้อม เป็นต้น
แต่รู้หรือไม่ว่า ราคาของรถยนต์ไฟฟ้านั้นเอื้อมถึงกว่าที่คิด เพราะราคานั้นมีหลากหลาย มีตั้งแต่หลักแสนไปจนถึงหลักล้าน ใกล้เคียงกับรถยนต์ใช้น้ำมันเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีความน่าสนใจอีกหลากหลายประการ ดังนี้
1. มีมาตรการรัฐช่วยลดหย่อนภาษีรถยนต์ไฟฟ้า
ขณะนี้ประเทศไทยกำลังผลักดัน ภาษีการนำเข้าลดลง ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าถูกลง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ต้องการซื้อรถมากที่สุด โดยอัตราภาษีที่ลดมีดังนี้
- เงินอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าและรถกระบะไฟฟ้า 70,000-150,000 บาทต่อคัน และรถจักรยานยนต์ 18,000 บาทต่อคัน (ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จะมีผู้ได้รับสิทธิที่ต้องได้รับเงินอุดหนุนตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าฯ แบ่งเป็นรถยนต์ จำนวน 18,100 คัน และรถจักรยานยนต์ จำนวน 8,800 คัน)
- ลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ไฟฟ้าจาก 8% เป็น 2% และรถกระบะไฟฟ้าเป็น 0% มีผลบังคับใช้ทันทีตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2568
- ลดภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า จาก 40% เหลือ 0% หรือมากสุด 40% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2565 – 31 ธันวาคม 2566
- ลดอากรขาเข้ารถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตต่างประเทศและนำเข้าทั้งคัน (CBU) สูงสุด 40% สำหรับรถยนต์ ถึงปี 2566
โดยมีเงื่อนไขว่าค่ายรถยนต์จะต้องเซ็น MOU เข้าร่วมโครงการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ของรัฐบาลไทย ส่วนลดดังกล่าวจึงจะมีผลใช้ได้
2. ลดมลพิษทางอากาศในสิ่งแวดล้อม
รถยนต์ไฟฟ้าถือเป็นตัวช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมได้ทางหนึ่ง เนื่องจากช่วยลดการใช้พลังงานน้ำมัน เชื้อเพลิง ส่งผลให้ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถลดค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมันได้มาก เนื่องจากผู้ใช้ส่วนใหญ่จะต้องเสียค่าน้ำมันอยู่ที่เดือนละประมาณ 4,000 – 5,000 บาท
นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อรถอีกด้วย เพราะคุณจะไม่ต้องเสียค่าน้ำมันทุกเดือน โดยมีผู้ใช้จริงระบุว่าค่าไฟที่ใช้ชาร์จรถยนต์ก็ไม่ได้เพิ่มสูงมากนัก จากค่าไฟที่ใช้ปกติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากชาร์จไฟช่วงกลางคืน หลัง 22.00 น. และทำเรื่องขอ TOU (Time of Use Rate) ค่าไฟฟ้าต่อหน่วยจะอยู่ที่ประมาณ 2.63 บาท/หน่วย ลดจากราคาปกติซึ่งอยู่ที่ประมาณ 5 บาท/หน่วย
เท่ากับว่าลดค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมันกว่าครึ่งหมื่น เหลือเพียงค่าไฟประมาณพันกว่าบาทเท่านั้น
3. บริษัทในไทยเริ่มขยายบริการรองรับการใช้รถยนต์ไฟฟ้า
หากใครที่ยังลังเลว่าจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าดีหรือไม่ เนื่องจากเกรงว่าบริการจะไม่รองรับหากรถมีปัญหา ข้อนี้น่าจะทำให้หลายคนใจชื้นขึ้น เพราะผู้ให้บริการในไทยเริ่มขยายการบริการแล้ว เช่น กิ้งก่า EV โดยเต่าบิน เตรียมให้บริการตู้ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงบริษัทประกันภัยรถยนต์ที่เตรียมทำประกันสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ เป็นต้น
นอกจากนี้ข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว ยังมีข้อเสียอีกเล็กน้อยที่ประเทศไทยควรเตรียมรับมือ หากต้องการให้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น เช่น ค่าซ่อม ค่าอะไหล่ ค่าประกันภัยที่สูงเนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้ายังไม่ได้รับความนิยมในวงกว้าง
รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้านั้นจำกัดความเร็วในการวิ่ง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองมากกว่า หากใครที่ต้องเดินทางไกลหรือออกต่างจังหวัดบ่อยครั้ง อาจจะต้องพิจารณาความเหมาะสมก่อนตัดสินใจซื้อกันให้ดี.
ข้อมูลจาก : ราชกิจจานุเบกษา, นักการตลาดล่าง
