ส.อ.ท. เสนอรัฐบาลปรับตรึงค่า ft เดือนมกราคม 2566 เหตุต้นทุนพลังงานลดลง
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ฝากรัฐบาลตรึงราคาค่า FT เริ่มตั้งแต่งวดประจำเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน 2566 ที่อัตรา 93.43 สตางค์ต่อหน่วย เพื่อบรรเทาภาระต้นทุนจากผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังต้นทุนพลังงานในการผลิตกระแสไฟฟ้าลดลง
อย่างไรก็ตาม รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ เผยผลสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 23 ในเดือนพฤศจิกายน 2565 ภายใต้หัวข้อ “มุมมองภาคอุตสาหกรรมต่อการปรับค่า Ft งวดใหม่” ว่าผู้ประกอบการขอความช่วยเหลือเสนอให้ภาครัฐ ชะลอการปรับค่า Ft ในงวดเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน ประจำปี 2566 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 4 เดือน ที่อัตราราคา 93.43 สตางค์ต่อหน่วย เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่แบกรับต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้า จากสาเหตุต้นทุนการผลิตไฟฟ้าลดลงอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการแก้ปัญหาก็เพื่อให้ค่าไฟฟ้าอยู่ที่ระดับ 4.72 บาทต่อหน่วย เพราะมองว่าราคาเชื้อเพลิงที่นำมาผลิตไฟฟ้ามีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง และจะส่งผลทำให้ภาระต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่นำมาผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ทยอยปรับลดลงตามไปด้วย
ประกอบกับที่ผ่านมา ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมต้องแบกรับภาระต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งค่าไฟฟ้า ค่าแรง ราคาวัตถุดิบ และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับเพิ่มขึ้น สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยทั้งสิ้น
ทั้งนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่เสนอว่ากรณีการจัดการหนี้ที่ต้องทยอยจ่ายคืน ‘การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)’ จากภาระต้นทุนค่าเชื้อเพลิง จำนวน 83,010 ล้านบาท กฟผ. ควรมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์ให้สามารถรับภาระหนี้ได้มากขึ้นและยาวนานมากกว่า 2 ปี ยกตัวอย่างเช่น การเพิ่มเพดานเงินกู้เฉพาะกิจ หรือการชะลอการส่งเงินรายได้เข้าคลัง เพื่อแก้ปัญหาการบริหารจัดการหนี้และผลกระทบจากการใช้ไฟฟ้าหลังจากที่ปรับอัตราขึ้นสูงเกินไปนั่นเอง
เปิดผลสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 23 จากบริหาร ส.อ.ท.
จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 171 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 23 จำนวน 5 คำถาม ดังนี้
1. สืบเนื่องจาก กกพ. ได้มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) สำหรับงวดเดือนม.ค. – เม.ย. 2566 ท่านคิดว่าแนวทางการปรับอัตราค่า Ft แบบใดจะมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน (Single choice)
อันดับที่ 1
คงค่า Ft ที่ 93.43 สตางค์ต่อหน่วย ค่าไฟฟ้าจะอยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย 88.3%เนื่องจากราคาเชื้อเพลิงที่นำมาผลิตไฟฟ้ามีแนวโน้มปรับตัวลดลงในช่วงปี 2566
อันดับที่ 2
ปรับค่า Ft เป็น 158.31 สตางค์ต่อหน่วย ค่าไฟฟ้าจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 10.5% 5.37 บาทต่อหน่วย (เพิ่มขึ้น 14%)
อันดับที่ 3
ปรับค่า Ft เป็น 191.64 สตางค์ต่อหน่วย ค่าไฟฟ้าจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 0.6% 5.70 บาทต่อหน่วย (เพิ่มขึ้น 21%)
อันดับที่ 4
ปรับค่า Ft เป็น 224.98 สตางค์ต่อหน่วย ค่าไฟฟ้าจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 0.6% 6.03 บาทต่อหน่วย (เพิ่มขึ้น 28%)
2. ภาครัฐควรบริหารจัดการหนี้ที่ต้องทยอยคืน กฟผ. จากภาระต้นทุนค่าเชื้อเพลิง จำนวน 83,010 ล้านบาทอย่างไร (Single choice)
อันดับที่ 1
กฟผ. เพิ่มการรับภาระหนี้ให้ได้มากและยาวนานขึ้นมากกว่า 2 ปี 44.4% เช่น การเพิ่มเพดานเงินกู้เฉพาะกิจ การจัดสรรวงเงินให้ยืม การชะลอการส่งเงินรายได้เข้าคลัง เป็นต้น
อันดับที่ 2
รัฐจัดสรรงบประมาณจากส่วนอื่นมาช่วยบรรเทาภาระหนี้ให้แก่ กฟผ. 35.7%
อันดับที่ 3
ทยอยเรียกเก็บเงินเพื่อชดเชยหนี้ที่ต้องคืน กฟผ. ผ่านการปรับขึ้นค่า Ft 19.9%
3. ภาครัฐควรมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างไร (Multiple choices)
อันดับที่ 1
ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการลงทุนใช้พลังงานหมุนเวียนภายในโรงงาน 81.3% เพื่อลดค่าไฟฟ้าในช่วง On Peak เช่น อำนวยความสะดวกในการขออนุญาต สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ รับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินจากเอกชน เป็นต้น
อันดับที่ 2
สนับสนุนส่วนลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ประกอบการที่สามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้ 49.7% จากเดือนฐาน
อันดับที่ 3
ยกเว้นการเรียกเก็บอัตราค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ (Minimum Charge) 45.0%
อันดับที่ 4
สนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำและมีที่ปรึกษาให้คำแนะนำในการปรับเปลี่ยน 43.9% เครื่องจักร/อุปกรณ์เพื่อการประหยัดพลังงาน
4. ภาครัฐควรปรับนโยบายการบริหารจัดการค่าไฟฟ้าอย่างไร เพื่อลดผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมและสร้างความเป็นธรรมต่อทุกภาคส่วน (Multiple choices)
อันดับที่ 1
แก้ไขกฎหมาย และกฎระเบียบจากการทำนโยบายด้านพลังงานไฟฟ้า 70.2% ให้เป็นธรรมกับทุกฝ่ายทั้งประชาชน ผู้ประกอบการภาคผลิตและบริการ รวมถึงผู้ลงทุน
อันดับที่ 2
รับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น เช่น Solar Cell, Biogas, 69.0% Biomass เป็นต้น
อันดับที่ 3
ทบทวนการกำหนดอัตราสำรองไฟฟ้าให้อยู่ในระดับไม่เกิน 15% 57.3% และชะลอโครงการใหม่เพื่อลดภาระ Reserve Margin ที่สูงเกินความจำเป็น
อันดับที่ 4
ลดการนำเข้าเชื้อเพลิงพลังงานที่มีราคาสูงในการนำมาผลิตไฟฟ้า 46.8%
5. ภาครัฐควรดำเนินการในเรื่องใดเพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน (Multiple choices)
อันดับที่ 1
ปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 85.4% และการใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น การปรับขั้นตอนการอนุญาตติดตั้ง Solar cell อัตราการรับซื้อไฟฟ้าคืน เป็นต้น
อันดับที่ 2
เร่งเปิดให้เอกชนสามารถใช้ระบบส่ง/จำหน่ายไฟฟ้า (Third Party Access) 68.4% เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าผ่านสายส่ง/จำหน่ายของ 3 การไฟฟ้าได้
อันดับที่ 3
ออกมาตรการสนับสนุนการลงทุนในการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร/อุปกรณ์ 64.3% เพื่อการประหยัดพลังงาน ทั้งมาตรการด้านการเงินและด้านภาษี
อันดับที่ 4
พัฒนาและจัดทำระบบฐานข้อมูลด้านพลังงาน (Energy Database) 47.4% ของประเทศ เพื่อนำไปใช้วางแผนการส่งเสริมการใช้พลังงานและนำไปสู่การลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)
สามารถติดตามข่าวเศรษฐกิจการเงินและการลงทุนได้ที่นี่