ศาลล้มละลาย นัดไต่สวน เจ้าหนี้ สินมั่นคงประกันภัย วันที่ 18 ส.ค. 65
ศาลล้มละลาย ทำการนัดไต่สวนบรรดาเจ้าหนี้ของบริษัท สินมั่นคงประกันภัย ภายในวันที่ 18 ส.ค. 65 โดยลูกค้าที่แจ้งเคมประกันโควิด-19 ถือว่าเป็นเจ้าหนี้ด้วย
ศาลล้มละลาย สินมั่นคงประกันภัย – (23 พ.ค. 2565) นายสรวิศ ลิมปรังษี โฆษกศาลยุติธรรม เปิดเผยว่า ตามที่ บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ SMK ได้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ ตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ โดยเสนอให้บริษัทตัวเอง เป็นผู้บริหารแผนเองนั้น
ล่าสุด ศาลล้มละลาย ได้ส่งหมายไปยังเจ้าหนี้ต่างๆ ของบริษัท สินมั่นคงประกันภัยแล้ว ซึ่งมีเจ้าหนี้หลายประเภท ตั้งแต่ธนาคาร ไปจนถึงเจ้าหนี้ผู้เอาประกันภัยโควิด เจอ จ่าย จบที่แจ้งเคลม หรือใช้สิทธิ์เรียกร้องแล้วรวมกว่าสามแสนราย จากกรมธรรม์ทั้งหมด 2 ล้านกรมธรรม์
ทั้งนี้ ศาลจะนัดไต่สวนผู้ร้อง, ผู้คัดค้าน ภายในวันที่ 18 ส.ค. 2565 ที่จะถึงนี้ โดยจะมีบรรดาเจ้าหนี้หรือผู้แทน จะเข้ามาคัดค้านหรือไม่นั้น ก็ต้องรอติดตามกันต่อไป ขณะที่ในส่วนของลูกค้าที่เป็นผู้เอาประกันที่มีการแจ้งเคลมแล้ว ซึ่งก็จะถือว่าเป็นเจ้าหนี้ด้วยกลุ่มหนึ่ง ถ้าหากผู้เสียหายทั้งหมดจะเข้ามาในคดีเองทั้งหมดกว่าสามแสนกว่าคนอาจจะทำได้ยาก แต่อาจรวมตัวกันตั้งตัวแทนเข้ามาดูแลส่วนได้เสียของตนในคดีอาจจะเป็นการดีกว่า ในการแจ้งของศาลจะมีการแจ้งผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และประกาศทางหนังสือพิมพ์ที่แพร่หลาย
สำหรับกรณีการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้จะมีความคล้ายคลึงกรณีของการบินไทย ที่ดำเนินการฟื้นฟูกิจการ แล้วได้มีลูกค้าที่บินกับการบินไทยแล้วสะสมไมล์ซึ่งมีสิทธิ์เรียกร้องสิทธิประโยชน์ต่างๆ หรือซื้อตั๋วแล้วแต่มีเลื่อนการเดินทาง โดยถือให้ลูกค้าที่เสียสิทธิประโยชน์ให้เป็นเจ้าหนี้ทั้งสิ้น และมีจำนวนมาก ซึ่งก็มีการแบ่งเป็นกลุ่มๆ และตั้งผู้แทน รับมอบอำนาจ เข้ามาในคดี เมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ฟื้นฟูและตั้งผู้ทำแผนฯ แล้ว ก็จะเป็นงานของกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรมที่จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
“การฟื้นฟูกิจการ จะเป็นประโยชน์แก่ทั้งฝ่ายเจ้าหนี้ลูกหนี้ เพราะจะทำให้กิจการดำเนินต่อไปได้ ที่อาจทำให้บริษัทที่ฟื้นฟูมีมูลค่ามากกว่าการนำทรัพย์สินไปขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาแบ่งกันซึ่งจะเป็นกรณีที่บริษัทเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย ซึ่งหากกิจการไม่มีทรัพย์สินที่มีมูลค่ามากนัก เจ้าหนี้แต่ละรายอาจจะได้รับชำระหนี้คืนน้อยกว่าที่จะได้รับในการฟื้นฟูกิจการ”
แหล่งที่มาของข่าว : ไทยรัฐออนไลน์
สามารถติดตามข่าวการเงินเพิ่มเติมได้ที่นี่ : ข่าวการเงิน