ธปท. ปรับลด วงเงินคุ้มครองเงินฝาก เริ่ม 11 ส.ค. – แจงเป็นไปตามแผนงาน
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศปรับลด วงเงินคุ้มครองเงินฝาก ภายในวันที่ 11 ส.ค. เป็นต้นไป พร้อมชี้แจงว่าการดำเนินงานดังกล่าวเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ทำการประกาศปรับลด วงเงินคุ้มครองเงินฝาก โดยเริ่มบังคับใช้ภายในวันที่ 11 สิงหาคม 2564 นี้ พร้อมทั้งชี้แจงว่าแนวทางดังกล่าวนี้เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ และสถาบันการเงินต่าง ๆ นั้น ยังคงมีความแข็งแรงอยู่
นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตามที่สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (DPA) จะปรับลดการคุ้มครองเงินฝากที่ผู้ฝากแต่ละรายมีอยู่ในสถาบันการเงิน (สง.) แต่ละแห่งเหลือ 1 ล้านบาท โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไปนั้น การปรับลดวงเงินคุ้มครองฯ ดังกล่าว เป็นไปตามกรอบการดำเนินการที่กำหนดไว้
โดยจะยังสามารถคุ้มครองผู้ฝากเงินได้ถึงร้อยละ 98 ของผู้ฝากเงินทั้งระบบ สง. ขณะที่สถาบันการเงินในปัจจุบันมีความเข้มแข็ง จึงไม่มีความจำเป็นต้องเลื่อนเวลาการปรับลดวงเงินดังกล่าวออกไปอีก
ธปท. ขอเรียนข้อมูลเพิ่มเติมว่า การปรับลดวงเงินดังกล่าว เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. 2551 ที่ทยอยปรับลดวงเงินจากการคุ้มครองเต็มจำนวนเป็นขั้นบันไดลงมา เพื่อให้ประชาชนได้มีเวลาปรับตัว
ทั้งนี้ ปัจจุบัน ผู้ฝากแต่ละรายจะได้รับการคุ้มครองเงินฝากวงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาทสำหรับการฝากเงินที่ สง. แต่ละแห่ง และนับตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป การคุ้มครองดังกล่าว จะลดลงเหลือไม่เกิน 1 ล้านบาท ซึ่งมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
การกำหนดระดับวงเงินความคุ้มครองเงินฝากข้างต้น สอดคล้องกับหลักการของระบบการคุ้มครองเงินฝากที่มีประสิทธิผล ซึ่งช่วยให้ทั้งผู้ฝากเงินและสถาบันการเงินไม่ละเลยการบริหารความเสี่ยง จากเดิมที่อาศัยระบบคุ้มครองเงินฝากในการทำหน้าที่ดูแลความเสี่ยงทั้งหมดแทน
นอกจากนี้ การจำกัดวงเงินคุ้มครองที่ได้ครอบคลุมผู้ฝากเงินรายย่อยส่วนใหญ่ (ร้อยละ 98 ของผู้ฝากเงินทั้งระบบ สง.) จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำและลดภาระงบประมาณของภาครัฐไม่ให้สูงเกินจำเป็น ทำให้ภาครัฐสามารถจัดสรรงบประมาณไปสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ได้ตรงจุด
ที่ผ่านมา ธปท. มีการกำกับดูแลสถาบันการเงินอย่างใกล้ชิด โดยสถาบันการเงินไทยมีความเข้มแข็ง สะท้อนจากระดับเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) ที่ระดับร้อยละ 20 ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาค และมีสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง ซึ่งสามารถรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้
แหล่งที่มาของข่าว : ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
สามารถติดตามข่าวการเงินเพิ่มเติมได้ที่นี่ : ข่าวการเงิน
- ธอส. My Hero เต็มวงเงินแล้ว – เตรียมเปิดอีกรอบ 16 ส.ค. นี้
- มีคำตอบ ยื่นทบทวนสิทธิ์ ม.33 หลังเช็คสิทธิ์แล้วไม่พบ