ผ่อนปรนระยะที่ 2 คาดเริ่ม 17 พ.ค. รอลุ้นมีกิจการไหนบ้าง
ผ่อนปรนระยะที่ 2 คาดเริ่ม 17 พ.ค. รอลุ้นกิจการไหนมีเฮ คลายล็อก
ผ่อนปรนระยะ 2 – เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจำวัน มาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ตอนหนึ่งระบุถึงมาตรการผ่อนปรนระยะ 2 ว่า
ตารางเวลาคร่าว ๆ ของมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 2 ที่จะเกิดขึ้น
- วันที่ 8-12 พ.ค. จะเป็นช่วงการรับฟังความเห็น หลังจากประกาศมาตรการไปเมื่อวันที่ 3 พ.ค. ที่ผ่านมา จะดูชุดข้อมูลทั้งเชิงสถิติ เชิงสถานการณ์ และความคิดเห็นต่าง ๆ
- วันที่ 13 พ.ค. จะมีการซักซ้อมความเข้าใจ
- วันที่ 14 พ.ค. จะยกร่างข้อกำหนดมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 2 และนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ถ้าไม่มีเหตุการณ์ที่ทำให้ตัวเลขพุ่งขึ้นมากมายไปกว่านี้
- วันที่ 17 พ.ค. ก็จะเริ่มออกมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 2 ต่อไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความร่วมมือจากทุก ๆ คน ทั้งผู้ประกอบการและประชาชนผู้ใช้บริการ
ก่อนหน้านี้ ได้มีการเปิดคลายล็อกผ่อนปรนไปแล้วระยะที่ 1 เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา 6 ประเภทกิจการประกอบด้วย
1.ตลาดสด ตลาดนัด ตลาดน้ำ ตลาดชุมชน/ ถนนคนเดิน แผงลอย
2.ร้านอาหารทั่วไป ร้านเครื่องดื่ม ขนมหวาน ไอศรีม (นอกห้างสรรพสินค้า) ร้านอาหารริมทาง รถเข็น / หาบเร่
3.ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ บริเวณพื้นที่นั่งหรือยืนรับประทานอาหาร รถเร่หรือรถคล้ายคลึงกันวิ่งจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ร้านค้าปลีกขนาดย่อม/ ร้านค้าปลีกชุมชน ร้านขายปลีกธุรกิจ สื่อสารโทรคมนาคม
4.กิจกรรมในสวนสาธารณะ (เฉพาะกิจกรรมที่ไม่เกิดการกระจายของฝอยละอองน้ำลาย และสารคัดหลั่ง) ได้แก่ เดิน ไทเก๊ก เป็นต้น และกิจกรรมสนามกีฬากลางแจ้งที่เป็นการออกกำลังกายโดยไม่ได้เล่นเป็นทีมและไม่มีการแข่งขัน ได้แก่ เทนนิส ยิงปืน ยิงธนู กอล์ฟและสนามซ้อม
5.ร้านตัดผม (เฉพาะตัด สระ ไดร์ผม)
6.ร้านตัดขนสัตว์ ร้านรับเลี้ยงรับฝากสัตว์
โดยมีมาตรการควบคุมหลัก ได้แก่
-
- ทำความสะอาดพื้น พื้นผิวสัมผัสบ่อยๆ ทั้งก่อนและหลังการจัดกิจกรรม และให้กำจัดขยะมูลฝอยทุกวัน
- ให้ผู้ประกอบการ พนักงานบริการ ผู้ใช้บริการสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าเสมอ
- ให้มีจุดบริการล้างมือด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล หรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรค
- ให้เว้นระยะห่าง หรือระยะนั่งหรือยืน ห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร
- ให้ควบคุมจำนวนผู้ร่วมกิจกรรมมิให้แออัด หรือลดเวลาในการทำกิจกรรมให้สั้นลงเท่าที่จำเป็น โดยถือหลักหลีกเลี่ยงการติดต่อสัมผัสระหว่างกัน
ทั้งนี้จะมีการประเมินผลทุก 14 วัน