เปิดชีวิต ‘ทักษิณ’ ในเรือนจำ รวยหมื่นล้าน ใช้เงินได้หมื่นบาท ต้องปรับตัวอย่างไรตามกฎเหล็กราชทัณฑ์

เจาะลึกระเบียบการคุมขังทุกขั้นตอน ทักษิณ ชินวัตร หลังศาลฎีกาสั่งจำคุก 1 ปี ตั้งแต่การตรวจค้นร่างกาย การฝากเงินใช้จ่ายที่จำกัด การตัดขาดจากโลกภายนอกสู่ห้องกักโรค ข้อปฏิบัติในฐานะผู้ต้องขังสูงอายุ
ม่านฉากชีวิตบทใหม่ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ภายหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้บังคับโทษจำคุก 1 ปี จากสถานะบุคคลสำคัญระดับประเทศ วันนี้เศรษฐีนักธุรกิจหมื่นล้าน ในวัย 76 ปี ต้องเข้าสู่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครในฐานะ “ผู้ต้องขังชายทักษิณ” ซึ่งหมายถึงการปรับตัวครั้งใหญ่หลวง เพื่อใช้ชีวิตภายใต้กฎระเบียบที่เคร่งครัดของกรมราชทัณฑ์
ชั่วโมงแรกในเรือนจำ สู่กระบวนการรับตัว
ทันทีที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัวนายทักษิณมาถึงเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร กระบวนการแรกรับผู้ต้องขังใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงต่อราย ขั้นตอนแรกคือการยืนยันตัวตนอย่างละเอียด เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบชื่อ-นามสกุล เลขประจำตัวประชาชน ให้ตรงกับบัตรประชาชนและหมายศาล จากนั้นจะพิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อเทียบความถูกต้อง
เมื่อยืนยันตัวตนเรียบร้อยแล้ว จะจัดทำ “ทะเบียนประวัติผู้ต้องขังเข้าใหม่” ซึ่งบันทึกข้อมูลสำคัญทุกมิติ ตั้งแต่ข้อหาความผิด สภาพร่างกายและจิตใจ ไปจนถึงข้อมูลครอบครัวและญาติที่สามารถติดต่อได้
ละทิ้งทรัพย์สินมีค่า ของใช้ที่ได้รับอนุญาต
ขั้นตอนถัดมาคือ การตรวจค้นตัวและสัมภาระ ทรัพย์สินทุกชิ้นที่เคยบ่งบอกสถานะ ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับมีค่า นาฬิกา สร้อย แหวน หรือแม้แต่พระเครื่อง จะถูกเจ้าหน้าที่คัดแยกออกทั้งหมด โดยจะถูกเก็บไว้ให้ญาติมารับคืน หรือฝากไว้กับเรือนจำจนกว่าจะพ้นโทษ
สำหรับเงินสดที่ติดตัวมา จะถูกนำฝากเข้าบัญชีผู้ต้องขัง ได้ไม่เกิน 15,000 บาท เพื่อใช้ซื้อของอุปโภคบริโภคที่จำเป็นภายในเรือนจำ สิ่งของที่ได้รับอนุญาตให้เก็บไว้กับตัวมีเพียงไม่กี่อย่าง และต้องเก็บไว้ในล็อกเกอร์ส่วนตัวเท่านั้น ห้ามนำขึ้นเรือนนอนเด็ดขาด
ตรวจสุขภาพ คัดกรองโรค และบันทึกร่างกาย
ด้วยวัย 76 ปี นายทักษิณจึงถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “ผู้ต้องขังสูงอายุ” กระบวนการทางการแพทย์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เจ้าหน้าที่พยาบาลจะทำการตรวจสุขภาพเบื้องต้นและคัดกรองโรค หากมีโรคประจำตัวหรือยาที่ต้องใช้เป็นประจำ จะต้องแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อเก็บรักษายาและจัดการให้ตามคำสั่งแพทย์
ประเด็นสำคัญคือการบันทึกสภาพร่างกายอย่างละเอียด โดยเฉพาะบาดแผลหรืออาการเจ็บป่วยที่มีมาก่อนเข้าเรือนจำ เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าไม่ได้เกิดขึ้นภายหลังการคุมขัง ซึ่งผู้ต้องขังจะต้องลงชื่อรับรองข้อมูลด้วยตนเอง
5 วันแรกในแดนกักโรค ตัดขาดจากโลกภายนอก
ตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 นายทักษิณจะต้องเข้าสู่กระบวนการกักตัวในห้องกักโรค ณ แดนแรกรับ เป็นเวลา 5 วัน ในช่วงเวลานี้ จะไม่ได้รับอนุญาตให้พบปะกับบุคคลภายนอก ยกเว้นทนายความเท่านั้น ถือเป็นการเริ่มต้นชีวิตในเรือนจำที่ต้องปรับตัวกับการถูกจำกัดอิสรภาพอย่างแท้จริง
หากระหว่างกักตัวมีปัญหาสุขภาพกำเริบจนต้องใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ แพทย์ประจำเรือนจำจะพิจารณาส่งตัวไปรักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ แต่เมื่ออาการดีขึ้นแล้ว ก็ต้องกลับมาถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครตามเดิม
การจำแนกแดน และการใช้ชีวิตในฐานะนักโทษเด็ดขาด
เมื่อครบกำหนดกักโรค 5 วันและไม่พบเชื้อ คณะกรรมการจะประชุมเพื่อพิจารณาว่าจะให้นายทักษิณไปคุมขังยังแดนใด โดยมีข้อควรระวังสำคัญคือ จะต้องไม่คุมขังร่วมแดนกับคู่กรณีหรือคู่ความที่เคยมีปัญหาขัดแย้งกันมาก่อน เพื่อป้องกันเหตุทะเลาะวิวาทหรือการทำร้ายร่างกาย
ในฐานะผู้ต้องโทษครั้งแรก นายทักษิณจะถูกจัดอยู่ในลำดับชั้น “นักโทษเด็ดขาดชั้นกลาง” หลังจากนี้จะสามารถให้ญาติเข้าเยี่ยมได้ แต่จำกัดเฉพาะผู้ที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีที่แจ้งไว้ 10 คนเท่านั้น
นี่คือภาพรวมชีวิตบทใหม่ของอดีตนายกรัฐมนตรี ที่ต้องละทิ้งความสะดวกสบายและสถานะทางสังคมทั้งหมด เพื่อปฏิบัติตามกฎระเบียบของกรมราชทัณฑ์อย่างเท่าเทียมกับผู้ต้องขังคนอื่นๆ ตลอดระยะเวลาการรับโทษ 1 ปีนับจากนี้
24 ชั่วโมง ในเรือนจำ แต่ละวัน ทักษิณต้องทำอะไรบ้าง
จากข้อมูลของอดีตผู้ต้องขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ที่ไทยเกอร์ไปค้นข้อมูลมา เผยให้เห็นภาพชีวิตประจำวัน ที่คาดว่านายทักษิณต้องทำ เป็นตารางเวลาที่ตายตัวและไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นวันธรรมดาหรือวันหยุดนักขัตฤกษ์
06:00 น. ตื่นนอน เสียงเปิดประตูเหล็กและกุญแจของผู้คุม คือสัญญาณเริ่มต้นวันใหม่ ผู้ต้องขังทุกคนต้องตื่นนอนพร้อมกันเพื่อเก็บที่นอนและเตรียมตัวลงจาก “เรือนนอน”
เช้าตรู่: หลังลงจากเรือนนอน จะเป็นช่วงเวลาเร่งรีบเพื่อทำภารกิจส่วนตัว ทั้งการอาบน้ำ แปรงฟัน และเข้าห้องส้วมแบบเปิดโล่งที่เรียกว่า “บล็อค” ซึ่งมีผู้คนต่อคิวรอใช้บริการจำนวนมาก
อาหารเช้า ผู้ต้องขังสามารถเลือกทานอาหารที่เรือนจำจัดให้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาหารจืด หรือซื้ออาหารจากร้านค้าสงเคราะห์ เช่น โจ๊ก น้ำเต้าหู้ หากมีเงินในบัญชี
08:00 น. เคารพธงชาติ ผู้ต้องขังทุกคนต้องมารวมแถวที่ลานหน้าเสาธงเพื่อตรวจนับจำนวนเป็นครั้งที่ 2 ของวัน จากนั้นจะร่วมกันร้องเพลงชาติและสวดมนต์
เข้ากองงาน หลังเสร็จสิ้นกิจกรรมหน้าเสาธง จะมีการตรวจนับจำนวนครั้งที่ 3 ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายไปทำงานตาม “กองงาน” ที่ได้รับมอบหมาย เช่น งานฝีมือหรืองานในโรงเลี้ยง
ช่วงกลางวัน ความสุขเล็กๆ ของผู้ต้องขังคือการรอฟังประกาศเรียกชื่อเพื่อพบญาติที่มาเยี่ยม หรือพบทนายความ ซึ่งเป็นโอกาสไม่กี่ครั้งที่จะได้เดินออกจากแดนสี่เหลี่ยมที่ถูกคุมขัง
11:00 น. อาหารเที่ยง โรงเลี้ยงจะบริการอาหารมื้อกลางวัน ซึ่งมักเป็นอาหารเบาๆ เช่น ก๋วยเตี๋ยวหรือข้าวต้ม
13:00 น. ตรวจนับรอบบ่าย เสียงออดจะดังขึ้นเพื่อเรียกผู้ต้องขังรวมแถวตามกองงานอีกครั้ง เพื่อตรวจนับจำนวนเป็นครั้งที่ 4
14:30 น. เลิกงานและอาบน้ำ หลังเลิกงาน ผู้ต้องขังจะมีเวลาอาบน้ำอีกครั้ง ก่อนจะรับประทานอาหารเย็น ซึ่งเป็นมื้อสุดท้ายและเป็นมื้อหนักที่สุดของวัน
ก่อนกลับเข้าห้องนอน ผู้ต้องขังจะถูกตรวจค้นร่างกายและสัมภาระอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อป้องกันการซุกซ่อนสิ่งของต้องห้าม
ตรวจนับครั้งสุดท้าย: เมื่อเข้าเรือนนอน ผู้คุมจะตรวจนับจำนวนผู้ต้องขังเป็นครั้งที่ 5 ก่อนจะปิดล็อกประตู
16:00 น. – 21:00 น. พักผ่อน โทรทัศน์จากส่วนกลางจะเปิดให้ชม ทุกห้องจะดูช่องเดียวกัน และจะปิดในเวลา 21:00 น. ซึ่งเป็นสัญญาณให้ทุกคนเข้านอน เพื่อเริ่มต้นวันใหม่ในตารางเวลาเดิมซ้ำอีกครั้ง
อ้างอิงจาก: คู่มือในคุก
ติดตาม The Thaiger บน Google News: