สุขภาพและการแพทย์

รู้จัก “โรคนิ้วล็อก” ภัยเงียบชาวออฟฟิศ เปิดสาเหตุ-แนวทางรักษา เช็กอาการที่นี่

วิเคราะห์ประเด็นสำคัญจากข่าว

เปิดคู่มือ “โรคนิ้วล็อก” ภัยเงียบใกล้ตัวคนทำงานออฟฟิศและคนติดมือถือ ชวนเช็กอาการ 4 ระยะอย่างละเอียด พร้อมเจาะลึกทางการรักษา และวิธีป้องกันที่ทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง

“โรคนิ้วล็อก” (Trigger Finger) กำลังกลายเป็นโรคใกล้ตัวที่พบได้บ่อยขึ้นในสังคมยุคใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานออฟฟิศและผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนเป็นเวลานาน ซึ่งหลายคนอาจมองว่าเป็นเพียงอาการปวดเมื่อยธรรมดา แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจนำไปสู่อาการปวดเรื้อรังและนิ้วยึดติดถาวรได้

“นิ้วล็อก” คืออะไร เกิดจากอะไร

นิ้วล็อก คือภาวะที่ปลอกหุ้มเส้นเอ็นบริเวณโคนนิ้วมือเกิดการอักเสบและหนาตัวขึ้น ทำให้เส้นเอ็นที่ทำหน้าที่งอนิ้วไม่สามารถเคลื่อนไหวผ่านปลอกหุ้มได้อย่างสะดวก เกิดเป็นอาการสะดุดหรือ “ล็อก” ค้างอยู่ในท่างอ ไม่สามารถเหยียดตรงได้เอง

สาเหตุหลัก มาจากการใช้งานมือและนิ้วในลักษณะเกร็งซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน ทำให้เกิดการเสียดสีจนอักเสบ โดยกลุ่มเสี่ยงไม่ได้มีแค่ช่างฝีมือหรือแม่บ้านอีกต่อไป แต่ยังรวมถึง

  • พนักงานออฟฟิศ ที่ต้องพิมพ์คีย์บอร์ดหรือใช้เมาส์ต่อเนื่องนาน ๆ
  • ผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนตลอดเวลา การเกร็งนิ้วโป้งและนิ้วอื่น ๆ ในการจับและไถหน้าจอ
  • ผู้ที่ทำงานบ้าน เช่น การซักผ้า บิดผ้า หรือหิ้วของหนัก
  • ผู้ป่วยโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน รูมาตอยด์ เก๊าท์ จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น

เช็กด่วน! อาการนิ้วล็อก 4 ระยะ

อาการของโรคนิ้วล็อกสามารถแบ่งได้ 4 ระยะ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนให้รีบดูแลตัวเอง

  • ระยะที่ 1 มีอาการปวดเจ็บบริเวณโคนนิ้วมือ แต่ยังสามารถงอและเหยียดนิ้วได้ปกติ
  • ระยะที่ 2 เริ่มมีอาการสะดุดขณะขยับนิ้ว การเคลื่อนไหวไม่ราบรื่น
  • ระยะที่ 3 นิ้วเกิดอาการล็อกเมื่องอนิ้วลง และไม่สามารถเหยียดกลับให้ตรงได้เอง ต้องใช้มืออีกข้างมาช่วยแกะ
  • ระยะที่ 4 นิ้วล็อกแข็งทื่อ ไม่สามารถงอหรือเหยียดได้สุด มีอาการปวดรุนแรง และอาจมีก้อนนูนขึ้นบริเวณโคนนิ้ว
คนกำลังทำท่าบริหารยืดกล้ามเนื้อมือและข้อมือ
ภาพจาก: Hand Therapy Group

แนวทางการรักษา ตั้งแต่พักมือจนถึงผ่าตัด

การรักษานิ้วล็อกมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการในแต่ละระยะ

  • การรักษาเบื้องต้น (ระยะที่ 1-2)
    • พักการใช้งาน ลดกิจกรรมที่ต้องเกร็งนิ้วซ้ำๆ
    • รับประทานยา กลุ่มยาต้านการอักเสบ (NSAIDs) เพื่อลดปวดบวม
    • กายภาพบำบัด แช่น้ำอุ่น นวดคลึงเบา ๆ ยืดเส้นเอ็น และใส่อุปกรณ์ดามนิ้ว
  • การฉีดยาสเตียรอยด์ เป็นการฉีดยาเข้าไปที่ปลอกหุ้มเส้นเอ็นเพื่อลดการอักเสบโดยตรง วิธีนี้ได้ผลดีในระยะแรกๆ แต่อาการอาจกลับมาเป็นซ้ำได้ และไม่ควรฉีดเกิน 2-3 ครั้งต่อหนึ่งนิ้ว
  • การผ่าตัด เป็นวิธีสุดท้ายสำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรงหรือรักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ดีขึ้น แพทย์จะทำการผ่าตัดเล็กเพื่อสะกิด หรือตัดปลอกหุ้มเส้นเอ็นที่รัดอยู่ให้เปิดกว้างออก ทำให้เส้นเอ็นกลับมาเคลื่อนไหวได้สะดวกอีกครั้ง
กราฟิกแสดงกายวิภาคของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเส้นเอ็นที่เกิดอาการนิ้วล็อก
ภาพจาก: ORA Orthopedics

ป้องกันได้ ท่าบริหารและวิธีลดความเสี่ยง

เราสามารถลดความเสี่ยงและป้องกันอาการนิ้วล็อกได้ด้วยการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน

  • พักมือเป็นระยะ หากต้องทำงานที่ใช้นิ้วต่อเนื่อง ควรพักทุก ๆ 30-60 นาที เพื่อยืดกล้ามเนื้อมือ
  • หลีกเลี่ยงการหิ้วของหนัก หากจำเป็นควรใช้อุปกรณ์ช่วย เช่น รถเข็น หรือใช้ผ้าขนหนูรองที่หูหิ้ว
  • ปรับอุปกรณ์ ห่อหุ้มด้ามจับเครื่องมือต่าง ๆ ให้นุ่มและมีขนาดพอดีมือ
  • แช่น้ำอุ่น หากมีอาการเมื่อยล้าหรือข้อฝืดตึงในตอนเช้า การแช่น้ำอุ่นประมาณ 15-20 นาที จะช่วยให้อาการดีขึ้น
  • ออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อ เช่น ท่าบริหารกำ-แบมือ หรือใช้มืออีกข้างช่วยดัดข้อมือขึ้น-ลงเบา ๆ

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

Suriyen J.

นักเขียนบทความข่าว จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สาขาปรัชญาและศาสนา มีประสบการณ์กับสำนักข่าวระดับประเทศ ชื่นชอบด้านสังคม การเมือง ต่างประเทศ ทำให้สามารถสร้างคุณค่าผ่านงานเขียน เพื่อให้ผู้อ่านได้ประโยชน์ครบทุกมิติ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button