อ่านเหตุผลศาลอาญาเต็มๆ สาเหตุยกฟ้อง “ทักษิณ” พ.ร.บ.คอมพ์-ม.112

อ่านเหตุผลศาลอาญาเต็มๆ สาเหตุยกฟ้อง ทักษิณ ชินวัตร พ.ร.บ.คอมพ์-ม.112 ปมให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลี ศาลเชื่อมีคลิปต้นเรื่องเป็นคลิปที่ถูกตัดมาบางส่วน
จากกรณีที่ศาลอาญา ยกฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จากกรณีที่นายทักษิณให้สัมภาษณ์กับ Chosun Media สื่อเกาหลีใต้ เมื่อปี 58 ตามที่มีรายงานไปก่อนหน้านี้นั้น
ล่าสุดศาลอาญา ออกเอกสารระบุว่า “วันนี้ (22 ส.ค.68) เวลา 10.00 น. ศาลอาญา นัดฟังคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.1860/2567 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 8 โจทก์ ยื่นฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร จำเลย ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ฯ กรณีกล่าวหาจำเลยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี พ.ศ.2558 อันมี ลักษณะพาดพิงสถาบัน ชั้นพิจารณาจำเลยให้การปฏิเสธ และยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลอนุญาตให้ ปล่อยตัวชั่วคราวโดยกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล
โดยศาลอ่านคำพิพากษาต่อหน้าจำเลยในวันนี้ ประเด็นสรุปว่า พิเคราะห์พยานหลักฐาน โจทก์และจำเลยแล้ว เห็นว่า สำหรับความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาต มาดร้ายพระมหากษัตริย์ เห็นควรวินิจฉัยก่อนว่า จำเลยเป็นผู้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวตามคลิปวิดีโอหมาย วจ.1 และ วจ. 2
โดยมีเนื้อหาของข้อความตามคำฟ้องหรือไม่ โจทก์มีพยานซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ และพยานปากนายอนันต์ เหล่าเลิศวรกุล มาเบิกความยืนยันว่าดูคลิปวิดีโอหมาย วจ.1 และ วจ.2 แล้ว เห็นว่าเป็นการกล่าวถ้อยคำให้สัมภาษณ์จำเลยจริง แม้โจทก์ไม่มีคลิปให้สัมภาษณ์ของจำเลยฉบับเต็มมา เป็นหลักฐาน แต่เมื่อพยานโจทก์ต่างยืนยันว่าคลิปวิดีโอหมาย วจ.๑ และ วจ.๒ เป็นคลิปให้สัมภาษณ์ของ จำเลยบางช่วงบางตอน และพยานโจทก์เห็นว่าสามารถนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้ ส่วนที่จำเลย อ้างว่าเป็นการตัดต่อคลิปวิดีโอ ไม่ปรากฏว่าเป็นการตัดต่อในส่วนใดและส่วนไหนไม่ถูกต้องหรือไม่ตรง กับความจริง จึงเป็นการกล่าวอ้างโดยไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้มาสนับสนุนหักล้างพยานหลักฐาน โจทก์ ประกอบกับจำเลยยังเบิกความตอบโจทก์ถามค้านรับว่า บุคคลและเสียงในคลิปวิดีโอหมาย วจ.1 และ วจ.2 เป็นจำเลย พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยให้สัมภาษณ์นักข่าวที่ สาธารณรัฐเกาหลี ตามคลิปวิดีโอหมาย วจ.1 และ วจ.2
โดยมีเนื้อหาของข้อความตามคำฟ้อง ไม่ได้เป็น การตัดต่อหรือเสริมแต่งเพื่อใส่ความให้ร้ายจำเลย ในส่วนของข้อความที่จำเลยให้สัมภาษณ์ตามฟ้องนั้น เป็นการพูดหรือแสดงหรือพาดพิงหรือทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นการกล่าวถึง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 อันมีลักษณะเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์หรือไม่ เห็นว่า ข้อความที่จะถือว่าเป็นความผิด ฐานหมิ่นประมาทนั้น จะต้องได้ความว่าการใส่ความนั้นระบุถึงตัวบุคคลผู้ถูกใส่ความ หรือเป็นการยืนยัน ข้อเท็จจริงที่รู้ได้แน่นอนว่าบุคคลที่ถูกใส่ความเป็นใคร หรือหากไม่ระบุถึงผู้ที่ถูกใส่ความโดยตรงการใส่ ความนั้นก็ต้องได้ความว่าหมายถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ ส่วนการดูหมิ่น ต้องพิจารณาว่าถ้อยคำ ที่กล่าวเป็นการดูถูกเหยียดหยาม หรือสบประมาทผู้ที่ถูกกล่าวถึงขนาดทำให้อับอายหรือไม่ หากเป็น เช่นนั้นก็ถือได้ว่าเป็นการดูหมิ่นแล้ว อีกทั้งความผิดฐานหมิ่นประมาทและดูหมิ่นผู้อื่นด้วยการใช้ข้อความ
หรือคำพูด ก็ต้องพิจารณาด้วยว่า เมื่อวิญญูชนโดยทั่วไปได้พบเห็น หรือได้อ่านหรือได้ยินข้อความนั้นแล้ว จะส่งผลให้ผู้ถูกกระทำเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังหรือไม่ เมื่อพิจารณาข้อความหรือถ้อยคำ ให้สัมภาษณ์ของจำเลยมิได้ใช้คำว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9” โดยตรง และไม่ได้ใช้ ถ้อยคำสรรพนามที่อ้างถึงบุคคลที่สามโดยมีคำราชาศัพท์หรือถ้อยคำที่สามารถระบุเฉพาะเจาะจงให้ เข้าใจได้ว่าหมายถึงพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด หากแต่ใช้คำสรรพนามบุรุษที่ 3 ว่า “เขา” เรียกแทน บุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือบุคคลอื่นหลายคนรวมกัน และยังมีคำว่า “องคมนตรี” “ทหาร” “Palace Circle” และ “คนในวัง” ล้วนแต่อยู่ในประโยคคำให้สัมภาษณ์ของจำเลย เห็นว่า พยานโจทก์ซึ่งเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาที่โจทก์นำมาเป็นพยานเพียงปากเดียว กับพยานบุคคลภายนอกที่โจทก์อ้างมา ล้วนแต่เข้าร่วมชุมนุมขับไล่จำเลยทางการเมือง อันส่อแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้มีอคติต่อจำเลย จึงมีข้อสงสัย ถึงความเป็นกลางและต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง พยานบุคคลดังกล่าวของโจทก์จึงไม่อาจแสดงให้ เชื่อได้ว่า วิญญูชนทั่วไปจะตีความข้อความที่จำเลยกล่าวไปในลักษณะที่พยานเหล่านั้นเข้าใจ ส่วนพยาน ที่เป็นเจ้าพนักงานตำรวจของโจทก์ก็ต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง
เนื่องจากพยานเบิกความตอบ คำถามค้านสอดคล้องกันว่า ในระหว่างการดำเนินคดีกับจำเลยนั้น ความจริงพยานต่างเห็นว่า พยานหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสั่งฟ้องจำเลยได้ เพราะคลิปวิดีโอของกลางไม่อาจยืนยันได้ว่าเป็นต้นฉบับ ทั้งไม่สามารถสืบหาบุคคลที่นำคลิปลงเผยแพร่ในระบบคอมพิวเตอร์ ประกอบกับเมื่อพิจารณา เพจแอปพลิเคชันเฟซบุ๊กและเว็บไซต์ยูทูบ ที่นำคลิปวิดีโอให้สัมภาษณ์ของจำเลยมาเผยแพร่ลงในระบบ คอมพิวเตอร์ พบว่าบุคคลที่นำมาเผยแพร่ซึ่งเป็นคนที่ได้รับฟังคลิปวิดีโอมาตั้งแต่แรก ล้วนเข้าใจตรงกัน ว่าจำเลยให้สัมภาษณ์โจมตีการยึดอำนาจและรัฐประหาร
โดยพาดพิงถึงนายสุเทพกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และองคมนตรีเท่านั้น ไม่ได้เข้าใจว่าถ้อยคำให้สัมภาษณ์นั้นจะพาดพิงหรือสื่อความหมายหรืออ้างว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ทรงอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติรัฐประหาร พยานหลักฐาน ทั้งหมดที่โจทก์นำสืบมา จึงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่า จำเลยกล่าวข้อความตามคำฟ้องโดย เจตนาหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 หรือเมื่อวิญญูชนทั่วไปได้พบเห็นหรืออ่าน ข้อความที่จำเลยกล่าวแล้วจะเข้าใจได้ว่าหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ในขณะที่ การสืบพยานหลักฐานของโจทก์ไม่สมกับภาระการพิสูจน์ในคดีอาญาว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาจึงไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ตามฟ้อง
สำหรับข้อหาร่วมกันแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้อง แต่มิได้นำพยานหลักฐานใดๆ มานำสืบเกี่ยวกับข้อหานี้เลย จึงรับฟัง ไม่ได้ สำหรับความผิดฐานร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิด เกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่ เห็นว่า เมื่อพยานหลักฐาน โจทก์รับฟังไม่ได้ว่า คำให้สัมภาษณ์ของจำเลยเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาต มาดร้ายพระมหากษัตริย์ จำเลยจึงไม่มีความผิดในข้อหานี้”
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ด่วน! ศาลยกฟ้อง “ทักษิณ” คดี ม.112 ให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลี
- ย้อนคลิป “ทักษิณ” ให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้ สู่การพ้นผิดคดี ม.112
- ทนาย มั่นใจคดี ม.112 ชี้เป็นคลิปตัดต่อ ไม่ได้มาจากคำพูดของ “ทักษิณ”
ติดตาม The Thaiger บน Google News: