ย้อนตำนาน ตึกสาทร ยูนีค ทำไมปล่อยร้าง ไม่สร้างต่อ เบื้องหลังใหญ่กว่าที่คิด

ย้อนตำนาน ประวัติ ตึกสาทร ยูนีค อาจารย์รังสรรค์เป็นเจ้าของ จากแลนด์มาร์กกลางกรุงช่วงยุค 90 สู่ตึกร้างจากวิกฤติต้มยำกุ้ง วันนี้มีข่าวปลอมประกาศขาย แท้จริงขายไม่ได้ ทำไมเป็นเช่นนั้น
หลังเป็นข่าวฮือฮาว่า “ตึกสาทร ยูนีค” อาคารร้างชื่อดังกลางกรุงเทพฯ ได้ถูกขายออกไปในราคาสูงถึง 4,000 ล้านบาท โดยมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง อ้างว่าเป็นนายหน้าตึกปิดดีลการขายได้ ล่าสุดลูกชายของ อาจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ผู้ออกแบบตึกดังกล่าว ได้ออกมาโพสต์ยืนยันผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “ตึกยังไม่ได้ถูกขาย” พ่อรวมถึงคนในครอบครัวไม่ได้ประกาศขาย
พร้อมเปิดเผยสาเหตุที่ยังขายไม่ได้ว่าโครงการนี้ยังมีข้อพิพาททางกฎหมายที่ซับซ้อน
เฟซบุ๊ก Tampote Torsuwan ลูกชายของอาจารย์รังสรรค์ ระบุว่า ตั้งแต่มีข่าวการขายตึกเผยแพร่ เขาได้รับโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาเป็นจำนวนมาก
“ตึกนี้มีข้อพิพาทและคดีความมากมายหลายอย่าง กระบวนการทางกฎหมายที่ฉ้อฉลยึดทรัพย์ภาคเอกชนผ่องถ่ายไปองค์กรข้ามชาติแล้วฟอกทรัพย์กลับมาเข้ามือกลุ่มทุนสามานที่เป็น deep stage ของประเทศนี้ คุณพ่อและคุณแม่ต่อสู้กับกระบวนการฉ้อฉลปล้นชาตินี้มายาวนานร่วม 30ปี
Fact ที่หลายคนอาจไม่รู้ ห้องชุดในตึกนี้ได้ขายไปแล้วมากกว่า 90% ตั้งแต่เปิดขายเมื่อ30กว่าปีที่แล้ว กลุ่มทุนสามานนี้ไม่ได้ปล้นเฉพาะ Developer แต่ปล้นคนซื้อทุกคน โอนถ่ายทรัพย์ไปมาเพื่อเขย่าให้ตึกนี้กลายเป็นตึกเปล่าที่ยังไม่มีใครซื้อ ซื้อถูก-ฟอกขาว-เขย่าให้เป็นตึกเปล่า นี่คือสิ่งที่ทุนสามานทำกับทุกตึกทุกอาคารที่โดนโยนลงหม้อต้มยำกุ้ง
เรื่องราวการต่อสู้ของท่านทั้ง2 ยังคงดำเนินอยู่ และผมเชื่อว่าจะดำเนินต่อไปตราบเท่าที่ท่านยังมีลมหายใจอยู่
การประกาศขายไม่ได้มาจากคุณพ่อ และท่านไม่ได้ติดต่อพูดคุยกับใครเกี่ยวกับตึกนี้ในการขาย ช่วงระยะหลังท่านสุขภาพไม่ค่อยดี ท่านพักผ่อนเสียเป็นส่วนใหญ่ครับ
โปรดใช้วิจารณญาณในการเสพข่าว ถ้าปัญหาตึกนี้มันจบง่าย มันคงไม่ยืนเป็นอนุสาวรีย์ต้มยำกุ้งมานาน 30ปี”
ตึกสาทร ยูนีค ทาวเวอร์ อาคารสูง ความหวังคนกรุงยุค 90 ทำไมถูกทิ้งร้างกลางกรุงเทพฯ
โครงการสาทร ยูนีค ทาวเวอร์ได้รับการวางแผนให้เป็นคอนโดมิเนียมหรูระดับไฮเอนด์ สูง 47 ชั้น จำนวนประมาณ 600 ยูนิต ใจกลางเขตธุรกิจบนถนนเจริญกรุง ย่านสาทร
แนวคิดการออกแบบได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมกรีก-โรมันแบบร่วมสมัย ผสมผสานความโค้งมนอ่อนช้อยเข้ากับตึกระฟ้าสมัยใหม่ แตกต่างจากสไตล์เหลี่ยมคมเรขาคณิตที่นิยมกันในยุคนั้น
ผลงานการออกแบบนี้เป็นฝีมือของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ สถาปนิกชื่อดังผู้เป็นทั้งผู้ออกแบบและผู้พัฒนาโครงการ อาจารย์รังสรรค์เคยฝากผลงานโดดเด่นไว้หลายแห่ง รวมถึงการร่วมออกแบบสนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน และยังออกแบบตึกระฟ้าอีกแห่งที่อยู่ในเครือเดียวกัน คือโครงการสเตททาวเวอร์ (State Tower) ต่อมาได้กลายเป็นอาคารที่มีชื่อเสียงพร้อมโดมทองด้านบน
อาคารสาทร ยูนีคถูกวางตัวให้เป็นคู่แฝดทางแนวคิดกับสเตททาวเวอร์ โดยนำองค์ประกอบแบบคลาสสิก เช่น เสาโรมันและระเบียงโค้ง มาใช้สร้างเอกลักษณ์ให้ตึกสูงสมัยใหม่ และวางเป้าหมายให้เป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ
ในยุคเศรษฐกิจเฟื่องฟูนั้น โครงการเปิดตัวในปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) ซึ่งเป็นช่วงที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยกำลังขยายตัวสุดขีด บริษัท สาธร ยูนีค จำกัด ของอาจารย์รังสรรค์เป็นผู้พัฒนาโครงการ โดยได้รับเงินทุนสนับสนุนหลักจากบริษัทหลักทรัพย์ไทยเม็กซ์ จำกัด ซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการอสังหาฯ หลายแห่งในยุคนั้น
การก่อสร้างเริ่มต้นทันทีในปีเดียวกัน โดยมีบริษัท สี่พระยาก่อสร้าง จำกัด เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างโครงสร้างหลักของอาคาร ภายในเวลาไม่กี่ปี โครงสร้างคอนกรีตของตึกก็ผุดขึ้นริมแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างรวดเร็วท่ามกลางความเชื่อมั่นว่าตลาดอสังหาจะเติบโตต่อเนื่องไม่รู้จบ
ปัญหาข้อพิพาท โดนคดีความ จนวันได้รับยุติธรรม
แม้โครงการจะเริ่มต้นด้วยความหวังสูง แต่ไม่นานก็เผชิญมรสุมครั้งใหญ่จากปัจจัยที่ไม่มีใครคาดคิด ในปี พ.ศ. 2536 ขณะที่ตึกกำลังก่อสร้างไปได้บางส่วน อ.รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ถูกจับกุมในข้อหามีส่วนพัวพันกับคดีจ้างวานลอบสังหาร นายประมาณ ชันซื่อ ประธานศาลฎีกา กลายเป็นข่าวดังในขณะนั้น
คดีนี้กลายเป็นมหากาพย์ทางกฎหมายที่ยืดยาวถึง 15 ปี กว่าที่ในที่สุดศาลฎีกาจะพิพากษายกฟ้อง คืนความบริสุทธิ์ให้แก่อาจารย์ในปี พ.ศ. 2553 แต่ระหว่างทางนั้นชีวิตกับชื่อเสียงของท่านได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ดังกรณีที่เพจหนึ่งได้บรรยายไว้ว่า “เมื่อโดนคดี นักลงทุนหนีหาย ไม่มีเงิน ตึกก็ไปต่อไม่ได้”
กล่าวคือทันทีที่ข่าวคดีอื้อฉาวเผยแพร่ออกไป สถาบันการเงินและนักลงทุนที่สนับสนุนโครงการต่างก็ทยอยถอนตัว ความน่าเชื่อถือทางธุรกิจของอาจารย์รังสรรค์สั่นคลอนอย่างหนัก ทำให้การจะระดมทุนมาสร้างตึกต่อเป็นไปได้ยากยิ่ง ผลที่ตามมาคือโครงการเริ่มประสบปัญหาสภาพคล่องและเกิดความล่าช้าในการก่อสร้างหลายครั้งจากการขาดเงินทุนสนับสนุน
แม้ตึกจะขึ้นโครงไปได้ราว 80% ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 แต่ส่วนงานตกแต่งภายในและระบบสาธารณูปโภคก็แทบไม่ได้เริ่มดำเนินการเลย ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เงาคดีความได้ทอดทับลงบนโครงการอสังหาฯ แห่งนี้ ในเวลาเดียวกันนั้น สาทร ยูนีค ทาวเวอร์เองก็ได้เปิดขายห้องชุดล่วงหน้าให้แก่ลูกค้าทั่วไปตามปกติเช่นโครงการคอนโดมิเนียมอื่นๆ ห้องชุดขนาดต่าง ๆ ถูกเสนอขายในระดับราคาประมาณ 20,000–30,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งถือว่าสูงพอสมควรในยุคนั้น
ด้วยความโดดเด่นของทำเลและชื่อเสียงของผู้ออกแบบ ทำให้มีผู้สนใจจับจองเป็นจำนวนมาก คาดว่ามูลค่าการขายห้องชุดรวมกันสูงนับหลายร้อยล้านบาท ผู้ซื้อบางส่วนชำระเงินดาวน์ไปแล้วและรอคอยที่จะได้ครอบครองคอนโดหรูใจกลางเมือง แต่เมื่อโครงการเริ่มชะงักงันจากปัญหาคดีความและการเงิน ผู้ที่จองซื้อห้องชุดไว้ก็เริ่มกังวลถึงอนาคตของการก่อสร้าง
วิกฤตต้มยำกุ้ง ไม่ขีดไฟก้านสุดท้ายนำความล่มสลายมาสู่โครงการ
สถานการณ์ของตึกสาทร ยูนีค ทาวเวอร์ ที่ย่ำแย่อยู่แล้วกลับทรุดหนักลงไปอีกเมื่อประเทศไทยเผชิญกับ วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ในปี พ.ศ. 2540 วิกฤตการณ์นี้ส่งผลให้ค่าเงินบาทลอยตัวและเสื่อมค่าลงอย่างรวดเร็ว สถาบันการเงินและบริษัทเงินทุนหลายแห่งประสบปัญหาขาดสภาพคล่องจนต้องปิดกิจการ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ บล.ไทยเม็กซ์ เจ้าหนี้รายใหญ่ที่สนับสนุนเงินทุนแก่โครงการสาทร ยูนีค
เมื่อแหล่งเงินหลักถูกตัดขาด ธนาคารและไฟแนนซ์อื่นๆ ก็พากันเข้มงวดการปล่อยกู้ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยที่เคยเฟื่องฟูก็ถึงคราวฟองสบู่แตก โครงการก่อสร้างอาคารจำนวนมากทั่วกรุงเทพฯ ต้องหยุดชะงักลงกลางคันกว่าหลายร้อยแห่ง ณ ช่วงปลายยุค 90s กรุงเทพฯ จึงเต็มไปด้วย “ตึกโครงกระดูก” ที่ไร้ชีวิตชีวา
ในจำนวนนี้ ส่วนใหญ่เป็นโครงการที่ภายหลังสามารถปรับโครงสร้างหนี้และกลับมาก่อสร้างจนแล้วเสร็จเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวในต้นทศวรรษ 2000 (เช่น โครงการสเตททาวเวอร์ที่สามารถก่อสร้างต่อจนเสร็จและเปิดใช้งานได้)
แต่สำหรับสาทร ยูนีค ทาวเวอร์ สถานการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น ภาระหนี้สินอันยุ่งเหยิงบวกกับข้อพิพาทต่าง ๆ ที่ยังค้างคา ทำให้โครงการนี้ถูกทิ้งร้างอยู่ในสภาพเดิมนับแต่นั้นเป็นต้นมา
เมื่อโครงการหยุดนิ่งลงอย่างไม่มีกำหนด เจ้าหนี้และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้ามาจัดการทรัพย์สินของโครงการนี้ องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ซึ่งจัดตั้งขึ้นหลังวิกฤตเพื่อบริหารทรัพย์สินด้อยคุณภาพ ได้ยึดทรัพย์สินของโครงการมาขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ เหตุการณ์นี้ส่งผลให้อาจารย์รังสรรค์ต้องสูญเสียสิทธิ์ความเป็นเจ้าของโครงการไปชั่วขณะหนึ่ง โดยในขั้นตอนการประมูลทรัพย์นั้น ธนาคารเกียรตินาคิน ได้เข้าซื้อโครงการสาทร ยูนีคไปจากปรส.
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนมือดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้อาคารมีความคืบหน้าใดๆ ไป 49 ชั้นแห่งนี้จึงยังคงตั้งตระหง่านค้างเติ่งอยู่เช่นเดิม พร้อมกับภาระหนี้และพันธะสัญญาที่ต้องสะสางกับทั้งสถาบันการเงิน ผู้รับเหมาก่อสร้าง และลูกค้าที่จองซื้อห้องชุดไว้
ความพยายามคืนชีพ สาทร ยูนีค แต่ก็ไ่ม่ได้สร้างต่อ
หลังพ้นช่วงวิกฤตเศรษฐกิจและปัญหาคดีความคลี่คลายลงในทศวรรษ 2000 ครอบครัวต่อสุวรรณได้พยายามเดินหน้าแก้ไขปัญหาโครงการสาทร ยูนีคที่ยังคงค้างเติ่งอยู่ นายพรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ บุตรชายของอ.รังสรรค์ ได้เข้ามารับช่วงดูแลทรัพย์สินและเจรจาไกล่เกลี่ยหนี้สินตั้งแต่ราวปี 2546 เป็นต้นมา
* พรรษิษฐ์ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2567 ด้วยอายุเพียง 53 ปี
แผนหลักคือการเจรจากับเจ้าหนี้ทุกฝ่ายเพื่อหาข้อยุติร่วมกัน มองหานักลงทุนรายใหม่ที่จะมาซื้อโครงการต่อ จากข้อมูลปี 2551 มีความคืบหน้าว่าการเจรหนี้เกือบเสร็จสิ้นลงและมีนักลงทุนหลายรายสนใจซื้ออาคาร โดยทีมของพรรษิษฐ์ได้วางแนวทางไว้ว่าจะขายอาคารให้ผู้ลงทุนใหม่ในราคาราว 1,800 ล้านบาท ซึ่งเงินก้อนนี้จะถูกนำไปชำระหนี้คืนเจ้าหนี้ทั้งหมด ได้แก่ ชำระคืนธนาคารเกียรตินาคินประมาณ 500 ล้านบาท เคลียร์หนี้ค่าก่อสร้างที่ติดค้างผู้รับเหมาประมาณ 100 ล้านบาท และส่วนที่สำคัญคือจัดคืนเงินแก่ลูกค้าที่เคยซื้อห้องชุดไว้อีกกว่า 600 ล้านบาท
ครอบครัวต่อสุวรรณต้องการรับผิดชอบต่อผู้ถือสัญญาซื้อขายให้มากที่สุด แทนที่จะปล่อยล้มละลายไปเฉยๆ แล้วลูกค้าเสียหาย แต่ปัญหาก็คือราคาขายที่ตั้งไว้สูงเพื่อให้ครอบคลุมหนี้ต้นทุนทั้งหมดนั้น ทำให้การหาผู้ลงทุนใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย
ในหลายวาระที่ผ่านมามีการเจรจากับกลุ่มทุนทั้งไทยและต่างชาติ แต่ก็ติดขัดหรือถอนตัวไปกลางคันอยู่เสมอ เช่น ครั้งหนึ่งเคยเจรจากับกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่จะมาซื้อ แต่ก็ล้มดีลไป หรือกรณีนักลงทุนต่างชาติรายหนึ่งที่ตกลงจะซื้อก็ไม่สามารถนำเงินเข้าประเทศได้ทันเวลาเนื่องจากมาตรการกันสำรองเงินทุน 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทยในเวลานั้นทำให้ดีลต้องล่มลงอีกครั้ง
สำหรับข้อพิพาททางกฎหมายกับลูกค้าที่ซื้อห้องชุด โครงการนี้เคยเผชิญการฟ้องร้องจากผู้ซื้อบางรายที่ต้องการเงินคืนหรือค่าเสียหาย อย่างไรก็ดี ทีมผู้ดูแลโครงการได้พยายามเจรจาประนีประนอมกับผู้ซื้อมาโดยตลอด ในช่วงปี 2550–2551 มีรายงานว่าลูกค้ามากกว่า 90% ตกลงยินยอมรับข้อเสนอยินยอมคืนเงิน (refund) แทนการรอให้สร้างตึกต่อ เป็นสัญญาณที่ดีว่าปัญหาส่วนใหญ่ใกล้คลี่คลาย เหลือเพียงรอให้อาคารสามารถขายทอดตลาดได้จริง เงินที่ได้มาก็จะถูกนำมาคืนให้ลูกค้าตามสัดส่วนที่เจรจากันไว้
อย่างไรก็ตาม นับจากวันนั้นผ่านมาหลายปี การขายตึกสาทร ยูนีคก็ยังไม่เกิดขึ้นจริงเสียทีเนื่องจากยังหาข้อสรุปเรื่องราคาที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกันไม่ได้ ผู้เป็นเจ้าของยังคงตั้งใจจะขายในราคาที่ไม่ขาดทุนจนเกินไปและเพียงพอชดเชยแก่ผู้ร่วมลงทุนดั้งเดิม ขณะที่ผู้สนใจซื้อย่อมเห็นค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและความเสี่ยงที่สูงลิ่ว จึงยังไม่มีดีลใดสำเร็จลุล่วง
ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา สาทร ยูนีค ทาวเวอร์ จึงยังคงอยู่ในสภาพอาคารร้างกลางกรุง กรุงเทพฯ แม้ทางเจ้าของจะทำการปิดกั้นไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าไปในตัวอาคาร แต่ด้วยความลึกลับชวนท้าทาย ตึกระฟ้าที่ไร้ผู้อยู่อาศัยแห่งนี้กลับดึงดูดนักผจญภัยเมือง (urban explorer) ทั้งชาวไทยและต่างชาติให้พยายามลอบขึ้นไปสำรวจด้านบนอยู่เนืองๆ มีรายงานว่าบางครั้งมีการลักลอบเข้าไปโดยติดสินบนยามเฝ้าอาคารด้วย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ขายออกแล้ว ‘ตึกสาทร ยูนิค’ 4 พันล้าน เจ้าของใหม่ พูดชื่อรู้จักทั้งประเทศ
- จริงหรือจ้อจี้ โผล่ขาย ตึกร้างสาทร ยูนีค ทาวเวอร์ 4 พันล้าน แกร่งแผ่นดินไหวไม่สะเทือน
- สส.ไอซ์ แฉงบประกันสังคม ไฟเขียว 7 พันล้านซื้อตึกร้าง ช่วยใครหรือไม่?
ติดตาม The Thaiger บน Google News: