ย้อนรอย 6 รัฐบาล ล้มเพราะโดน ‘อภิปรายไม่ไว้วางใจ’

การอภิปรายไม่ไว้วางใจ (ญัตติซักฟอก) เป็นกลไกสำคัญของระบบรัฐสภาที่ฝ่ายค้านใช้ตรวจสอบรัฐบาล นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน มีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเกิดขึ้นหลายสิบครั้ง แต่มีเพียงบางกรณีเท่านั้นที่ส่งผลถึงขั้นให้รัฐบาลต้องพ้นอำนาจ ไม่ว่าจะในรูปของ รัฐบาลล้ม (แพ้โหวตไม่ไว้วางใจ), นายกรัฐมนตรีลาออกเอง หรือ นายกรัฐมนตรีตัดสินใจยุบสภา ภาพรวมโดยสรุปเคยทำรัฐบาลล้มมาแล้วกี่ครั้ง แบ่งตามช่วงเวลาได้ ดังนี้
กรณีที่อภิปรายไม่ไว้วางใจทำให้รัฐบาลล้ม หรือนายกฯ ลาออก หรือมีการยุบสภา
พ.ศ. 2490 – รัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
ถือเป็นการซักฟอกรัฐบาลครั้งประวัติศาสตร์ครั้งแรกของไทย โดยพรรคฝ่ายค้าน (ประชาธิปัตย์) อภิปรายไม่ไว้วางใจทั้งคณะรัฐบาลถวัลย์เป็นเวลา “มหกรรม 7 วัน” (19–26 พ.ค. 2490) ด้วยเหตุเศรษฐกิจตกต่ำ ข้าวยากหมากแพง การทุจริต และปมสวรรคต ร.8
ผลการลงมติรัฐบาลรอดไปได้ (86 ต่อ 55 เสียง) แต่หลังผ่านไปเพียง 2 วัน รัฐบาลถวัลย์ก็ประกาศลาออกทั้งคณะเพื่อคลี่คลายแรงกดดันและปรับ ครม. (ต่อมาไม่นานเกิดรัฐประหาร 8 พ.ย. 2490 โดยคณะทหารกลุ่มหนึ่งยึดอำนาจรัฐบาลที่รักษาการอยู่)
พ.ศ. 2518 – รัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช (ครั้งที่ 1)
หลังเลือกตั้งปี 2518 รัฐบาลผสมพรรคประชาธิปัตย์ของหม่อมเสนีย์อยู่ได้เพียงไม่ถึงเดือนก็เผชิญศึกไม่ไว้วางใจในสภา เนื่องจากเสียงปริ่มน้ำและความขัดแย้งในพรรคร่วม ผลคือ รัฐบาลไม่ได้รับความไว้วางใจจากที่ประชุมสภา (แพ้โหวตในวันที่ 6 มี.ค. 2518)
ทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่ง ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่นายกฯ ไทยแพ้มติไม่ไว้วางใจในสภาโดยตรง สภาฯ จึงเลือกบุคคลอื่นขึ้นเป็นนายกฯ แทน (คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคม เข้ามาจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่)
พ.ศ. 2523 – รัฐบาล พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์
นายกฯ เกรียงศักดิ์ (หัวหน้ารัฐบาลทหารผสมการเมืองหลังเลือกตั้งปี 2522) ถูกฝ่ายค้านยื่นซักฟอกครั้งสำคัญในหัวข้อปัญหาเศรษฐกิจและความไร้ประสิทธิภาพ (กำหนดอภิปราย 3 มี.ค. 2523)
แต่ พล.อ.เกรียงศักดิ์ตัดสินใจประกาศลาออกจากตำแหน่งทันที ในวันที่ 29 ก.พ. 2523 ก่อนถึงวันอภิปราย เพื่อเปิดทางให้สภาเลือกผู้นำใหม่ (นับเป็นผู้นำรัฐบาลจากคณะรัฐประหารคนแรกที่ยอมสละอำนาจโดยสมัครใจ) ผลคือญัตติถูกถอนและไม่มีการลงมติไม่ไว้วางใจ รัฐบาลใหม่ที่ตั้งขึ้นภายหลังคือนายกฯ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
พ.ศ. 2538 – รัฐบาล นายชวน หลีกภัย (ชุดที่ 1)
รัฐบาลผสมภายใต้พรรคประชาธิปัตย์ของนายชวนต้องเผชิญกรณีทุจริตโครงการที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ซึ่งรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (สุเทพ เทือกสุบรรณ) แจกที่ดินให้คนใกล้ชิดแทนเกษตรกรยากจน
ฝ่ายค้านเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล และพรรคร่วมบางส่วนเริ่มถอนการสนับสนุนรัฐบาลเพื่อ “ความถูกต้องทางการเมือง” ส่งผลให้นายชวน ตัดสินใจประกาศยุบสภา เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2538 คืนอำนาจให้ประชาชนเลือกตั้งใหม่
ถือเป็นการยุบสภาเพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤตศรัทธาและความแตกแยกในรัฐบาล ผลการเลือกตั้งครั้งใหม่เดือน ก.ค. 2538 ทำให้พรรคชาติไทยของนายบรรหาร ศิลปอาชาได้จัดตั้งรัฐบาลต่อมา
พ.ศ. 2539 – รัฐบาล นายบรรหาร ศิลปอาชา
นายบรรหาร (นายกฯ จากพรรคร่วมผสมหลายพรรค) ถูกฝ่ายค้านนำโดยพรรคประชาธิปัตย์อภิปรายไม่ไว้วางใจแบบ “ซักฟอกเดี่ยว” ตั้งแต่ 18–21 ก.ย. 2539 ด้วยข้อกล่าวหาหนัก 13 ข้อ เช่น ปัญหาชาติซ้ำซ้อนเรื่องสัญชาติ, เลี่ยงภาษี, รับเงินผู้ต้องหาคดีทุจริต เป็นต้น
ผลคือ พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคต่อรองให้นายบรรหารลาออกภายใน 3–7 วัน แลกกับการลงมติไว้วางใจ (เพื่อไม่ให้รัฐบาลแพ้โหวตในสภา)
เมื่อถึงวันลงมติ 21 ก.ย. 2539 นายบรรหารได้รับเสียงไว้วางใจ 207 ต่อ 180 เสียง (รอดมติไม่ไว้วางใจ)
แต่แทนที่จะลาออกตามสัญญากับพรรคร่วม นายบรรหารกลับใช้อำนาจนายกฯ ยุบสภาในวันที่ 27 ก.ย. 2539 เพื่อพลิกสถานการณ์
ส่งผลให้ต้องจัดเลือกตั้งใหม่ (17 พ.ย. 2539) ซึ่งพรรคความหวังใหม่ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ชนะและจัดตั้งรัฐบาลต่อไป
พ.ศ. 2540 – รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
รัฐบาลชวลิตซึ่งเข้ามาช่วงวิกฤตการเงิน “ต้มยำกุ้ง” ถูกฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างหนัก 25–27 ก.ย. 2540 กล่าวหาว่าบริหารผิดพลาดจนประเทศล้มละลาย ต้องกู้ IMF และทำลายความเชื่อมั่นของชาติ
แม้ชวลิตจะ ผ่านมติไม่ไว้วางใจในสภาได้สำเร็จ (พรรคร่วมยังโหวตหนุนรัฐบาลเพราะเสียงมากกว่าฝ่ายค้าน)
แต่หลังจากนั้นวิกฤตศรัทธาต่อรัฐบาลกลับทวีขึ้น – นักธุรกิจ ประชาชน และสื่อมวลชนออกมากดดันไม่ยอมรับการบริหารต่อไป
ในที่สุด พล.อ.ชวลิตประกาศ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2540 หลังอยู่ในตำแหน่งได้เพียง 11 เดือนเศษ ส่งผลให้ต้องจัดตั้งรัฐบาลใหม่กลางสภา (เป็นรัฐบาลชวน หลีกภัย ชุดที่ 2 ที่เข้ามาสานต่อการแก้วิกฤตเศรษฐกิจ)
กรณีที่อภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ส่งผลให้รัฐบาลล้ม
ในหลายยุคสมัย การอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนรัฐบาล เนื่องจากฝ่ายรัฐบาลยังครองเสียงข้างมากในสภา หรือมีปัจจัยอื่นแทรกแซง (เช่น อำนาจนอกระบบหรือองค์กรตุลาการ) ยกตัวอย่างเช่น
ยุค 2520–2530 รัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
รัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ไม่เคยแพ้มติไม่ไว้วางใจ แม้ฝ่ายค้านจะพยายามยื่นญัตติหลายครั้ง รัฐบาลเปรมอยู่รอดครบวาระด้วยเสียงสนับสนุนเหนียวแน่นจากพรรคร่วม (ครั้งหนึ่งในปี 2528 ญัตติซักฟอกเฉพาะตัวนายกฯ ถูกตีตกด้วยเหตุผลทางข้อบังคับ ทำให้ไม่มีการลงมติจริง ) และเมื่อเผชิญแรงเสียดทานในปี 2529–2530 พล.อ.เปรมเลือกจะไม่ต่ออำนาจ (วางมือหลังเลือกตั้งปี 2531) แทนที่จะถูกโค่นในสภา
รัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ (2531–2534)
นายกฯ ชาติชายเผชิญข้อครหาคอร์รัปชันและฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจหลายครั้ง แต่รัฐบาลยังอยู่รอดครบเทอมด้วยเสียงข้างมากในสภา (เช่น การอภิปรายปี 2533 ซึ่งฝ่ายค้านโจมตีว่ารัฐบาล “กินทุกอย่างยกเว้นโต๊ะ” แต่ลงมติแล้วรัฐบาลก็ยังชนะ) รัฐบาลชาติชายจบลงด้วยการรัฐประหารในเดือน ก.พ. 2534 แทนที่จะล้มในสภา
หลังรัฐธรรมนูญ 2540
ยังไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนใดที่ต้องพ้นตำแหน่งเพราะแพ้มติไม่ไว้วางใจในสภาโดยตรง แม้จะมีการยื่นญัตติซักฟอกแทบทุกปีที่มีสภาเลือกตั้งก็ตาม นายกฯ หลายคนมีเสียงข้างมากชัดเจน ทำให้โหวตไว้วางใจผ่านสภาได้ทุกครั้ง เช่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ครองเสียงท่วมท้น สามารถชนะโหวตไม่ไว้วางใจสมัยรัฐบาลแรก (2545) และรัฐบาลที่สอง ก่อนจะพ้นอำนาจด้วยวิกฤตการเมืองภายนอกสภาในปี 2549,
นายสมัคร สุนทรเวช ผ่านมติไว้วางใจในปี 2551 ด้วยคะแนน 280 ต่อ 162 เสียง (แต่ต่อมาถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยพ้นตำแหน่งเนื่องจากคดีอื่น), นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็รอดการซักฟอกในปี 2552–2554 ทุกครั้ง (คะแนนไว้วางใจสูงกว่าคะแนนไม่ไว้วางใจเสมอ เช่น 249 ต่อ 184 เสียงในปี 2554)
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีฐานเสียงเสียงข้างมาก ทำให้ชนะโหวตไม่ไว้วางใจทั้งในปี 2555 (308 ต่อ 159 เสียง) และปี 2556 (297 ต่อ 134 เสียง) และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในยุครัฐธรรมนูญ 2560 ก็รอดพ้นศึกอภิปรายทุกครั้งระหว่างปี 2563–2565 ด้วยเสียงสนับสนุนจากพรรคร่วมรัฐบาลเกินกึ่งหนึ่ง (เช่น ได้ 272 เสียงไว้วางใจ ต่อ 49 เสียงไม่ไว้วางใจในปี 2563)
หมายเหตุ : กรณีวิกฤตการเมืองปี 2556–2557 รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยุบสภาเมื่อ ธ.ค. 2556 เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนท่ามกลางการชุมนุมขับไล่ แม้ขณะนั้นรัฐบาลจะยังมิได้แพ้มติในสภาก็ตาม รวมถึงกรณีนายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ (ปลายปี 2551) ที่ถูกยื่นญัตติซักฟอก แต่ก่อนจะลงมติ ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งยุบพรรคพลังประชาชนและเพิกถอนสิทธิแกนนำพรรคเสียก่อน ทำให้รัฐบาลสมชายสิ้นสุดลงโดยไม่ทันโหวตในสภา
ภาพรวมการอภิปรายไม่ไว้วางใจล่าสุดในรัฐบาลนายกแพทองธาร ชินวัตร
การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เมื่อวันที่ 24-25 มีนาคม 2568 ถือเป็นการทดสอบสำคัญต่อความเชื่อมั่นในรัฐบาลชุดนี้ ฝ่ายค้านนำโดยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ตั้งญัตติอภิปรายเพียงนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร คนเดียว
หนึ่งในช่วงเวลาที่น่าจับตามองคือการอภิปรายของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เขาลุกขึ้นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีแพทองธาร โดยเน้นถึงปัญหาการบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาด รวมถึงการที่บุคคลในครอบครัวนายกฯ เข้ามามีบทบาทในการเมือง ซึ่งพล.อ.ประวิตรมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม
การอภิปรายครั้งนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชารัฐ การที่พล.อ.ประวิตรออกมาอภิปรายในลักษณะนี้อาจส่งสัญญาณถึงความไม่พอใจภายในพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลในระยะยาว
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ถ่ายทอดสด อภิปรายไม่ไว้วางใจ 2568 ดีลแลกประเทศ
- โรม ทิ้งปริศนาลับศึกซักฟอก นายกฯ อิ๊งค์ ชาวเน็ตช่วยแกะรหัสได้
- ส่องคิวอภิปราย ซักฟอกวันนี้ “เท้ง” เปิด “บิ๊กป้อม” อภิปราย 10 นาที
อ้างอิง : ย้อนดู 4 เหตุการณ์: ล้มรัฐบาลด้วยการลงมติในสภา