บันเทิง

ดาราตลกอาวุโส เสียชีวิตแล้ว ด้วยอาการหัวใจวาย

อีกหนึ่งข่าวเศร้าของวงการบันเทิง เมื่อ โทนี สแลตเทอรี (Tony Slattery) ดาราตลกรุ่นใหญ่ชาวอังกฤษ เสียชีวิตด้วยวัย 65 ปี ด้วยอาการหัวใจวาย

เซอร์สตีเฟน ฟราย นำการไว้อาลัยให้กับโทนี สแลตเทอรี (Tony Slattery) นักแสดงและนักแสดงตลกชาวอังกฤษ ที่เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายในวัย 65 ปี

Advertisements

สแลตเทอรี เป็นที่รู้จักจากความสามารถในการด้นสดที่ฉับไวในรายการดัง Whose Line Is It Anyway? ทางช่อง 4 ตั้งแต่ปี 1988 เป็นต้นมา

เซอร์สตีเฟน ที่เคยร่วมแสดงในรายการเดียวกันและอยู่ในกลุ่มการแสดง Footlights ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์กับสแลตเทอรี ได้เขียนไว้อาลัยเพื่อนเก่าในอินสตาแกรมว่าเป็น “จิตวิญญาณที่อ่อนโยนและหวานที่สุด” และเขายังเป็น “นักตลกและตัวตลกที่ตลกสุดๆ มีพรสวรรค์ลึกซึ้ง”

สแลตเทอรี ยังทิ้งผลงานในฐานะนักแสดงตลกและการแสดงแบบจริงจังในภาพยนตร์หลานเรื่อง ทั้ง The Crying Game, Peter’s Friends และ How to Get Ahead in Advertising ที่เป็นหนังขาวดำ

นอกจากนี้ เขายังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโอลิเวียร์สาขาการแสดงตลกยอดเยี่ยม จากบทกอร์ดอนในละครเวที Neville’s Island ของทิม เฟิร์ธ อีกด้วย

Advertisements

ในคำแถลงของ มาร์ค ไมเคิล ฮัตชินสัน นักแสดงและคู่ชีวิตของสแลตเทอรี ระบุว่า “ด้วยความเสียใจอย่างยิ่ง เราต้องแจ้งให้ทราบว่า โทนี สแลตเทอรี นักแสดงและนักแสดงตลกวัย 65 ปี ได้เสียชีวิตในเช้าวันอังคารนี้ หลังจากมีอาการหัวใจวายเมื่อคืนวันอาทิตย์”

เซอร์สตีเฟนกล่าวถึงยังกล่าวผ่านทางอินสตาแกรส่วนตัวว่า “ความโหดร้ายของโชคชะตาที่พรากเขาไปจากพวกเราในช่วงที่เขาเพิ่งจะเริ่มหลุดพ้นจากการต่อสู้กับปีศาจร้ายในชีวิตที่เขาเผชิญมาตลอด”

ขณะที่ โจซี ลอว์เรนซ์ เพื่อนร่วมรายการ Whose Line กล่าวเสริมว่า “มีแต่ความทรงจำที่หัวเราะด้วยกัน ทำเรื่องไร้สาระและหัวเราะ เขาเป็นคนมีพรสวรรค์ ใจดี ตลก และงดงาม ขอส่งความรักและความเสียใจไปถึงมาร์คที่แสนวิเศษ ขอให้พักผ่อนในความสงบนะโทนี”

ทางด้านนักแสดงตลกคนอื่นๆ อย่าง ริชาร์ด เค. เฮอร์ริง และ อัล เมอร์เรย์ ก็ร่วมไว้อาลัยด้วย รวมถึงเฮเลน เลเดอเรอร์ นักแสดงและนักแสดงตลกจากซีรีส์ Absolutely Fabulous โดย เมอร์เรย์เขียนว่า “ข่าวที่น่าเศร้ามากเกี่ยวกับโทนี สแลตเทอรี เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์เจิดจรัสมาก” ขณะที่เฮอร์ริงเพียงแค่โพสต์สั้นๆ ว่า “โอ้ โทนี”

เลเดอเรอร์เขียนในโซเชียลมีเดียว่า “เพื่อนที่ดีที่สุดของฉันในเรื่องเสียงหัวเราะ มุกตลก ความรัก ความไร้สาระ เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวของฉัน (สองครั้ง) พวกเรารักคุณมาก แล้วตอนนี้พวกเราจะทำยังไงกันดี”

อีกหนึ่งนักแสดงตลกอย่าง อาเธอร์ สมิธ ได้เขียนว่า “ขอให้สงบสุข โทนี สแลตเทอรี คนที่มีไหวพริบฉับไว ใจดี และรอบคอบ” ส่วน ทอม วอล์คเกอร์ หรือที่รู้จักในชื่อ โจนาธาน พาย เสริมว่า “ใจสลายมากที่ได้ยินข่าวเกี่ยวกับโทนี สแลตเทอรี เขาเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง”

เดวิด แบดดีล นักแสดงตลกและนักเขียนบรรยายว่าข่าวนี้ “น่าเศร้ามาก” ขณะที่เลส เดนนิส พิธีกรและนักแสดงจดจำสแลตเทอรีในฐานะ “ผู้มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมและเป็นคนดี”

สแลตเทอรี เกิดในครอบครัวชนชั้นแรงงานในลอนดอนเหนือในปี 1959 เขาได้รับทุนการศึกษาไปเรียนภาษาสมัยกลางและภาษาสมัยใหม่ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ โดยที่นี่เองที่ทำให้เขาก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง โดยได้พบกับเซอร์สตีเฟนในวัยหนุ่ม ซึ่งชวนเขาให้เข้าร่วมชมรมละครสมัครเล่นชื่อดังของมหาวิทยาลัย Cambridge Footlights หลังจากนั้น สแลตเทอรีเคยกล่าวว่า “การได้ขึ้นเวทีและได้ยินเสียงหัวเราะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต”

ที่เคมบริดจ์ เขายังเป็นรุ่นเดียวกับเดมเอ็มมา ทอมป์สัน และฮิวจ์ ลอรี โดยในปี 1981 กลุ่มของเขาได้รับรางวัล Perrier Comedy Award ครั้งแรกที่เทศกาลเอดินบะระ จากการแสดงเรื่อง The Cellar Tapes และในปีถัดมา สแลตเทอรี ได้รับเลือกเป็นประธาน Footlights ต่อจากรุ่นพี่อย่างเอริค ไอเดิล, ไคลฟ์ แอนเดอร์สัน และปีเตอร์ คุก

หลังจากนั้นสแลตเทอรีก็ไปแสดงตามคลับต่างๆ ในลอนดอน ทำสิ่งที่เขาเรียกว่า “การแสดงวาไรตี้แบบแปลกๆ”

เขาปรากฏตัวทางโทรทัศน์หลายรายการ รวมถึงการเป็นพิธีกรรายการเด็ก TX แต่จุดพลิกผันครั้งใหญ่มาถึงในปี 1986 เมื่อเขาได้รับบทนำในละครเพลงเวทีเวสต์เอนด์เรื่อง Me and My Girl ก่อนจะไปแสดงใน Radio Times, Privates on Parade และ Neville’s Island ซึ่งได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์

ผลงานการแสดงอื่นๆ ของเขารวมถึงเรื่อง To Die For, Up ‘N Under และ The Wedding Tackle แต่ผู้คนจะจดจำเขาที่สุดจากผลงานในรายการ Whose Line Is It Anyway? รายการตลกเรือธงของช่อง 4 ที่นักแสดงต้องเล่นเกมด้นสดสั้นๆ สร้างฉากตลกจากคำแนะนำของพิธีกรหรือผู้ชม

สแลตเทอรี สร้างความสนุกให้ผู้ชมทั่วประเทศ ด้วยการร่วมแสดงกับนักแสดงคนดังจาก Comedy Store Players อย่างพอล เมอร์ตัน, โจซี ลอว์เรนซ์ และแซนดี ทอคสวิก รวมถึงรอรี เบรมเนอร์ และเซอร์สตีเฟน รวม 48 ตอนระหว่างปี 1988 ถึง 1995

หลังจากซีซั่น 7 สแลตเทอรี ที่เป็นหนึ่งในนักแสดงที่ได้รับความนิยมสูงสุดของรายการ ได้ลาจากรายการไป ส่งผลให้เรตติ้งลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ต่อมาเขาได้กลับมาร่วมงานกับเพื่อนร่วมชมรมตลกสมัยเรียนอีกครั้ง ทั้งเซอร์สตีเฟน, เดมเอ็มมา และลอรี ในหนังรักตลกเรื่อง Peter’s Friends (1992) และแสดงคู่กับริชาร์ด อี. แกรนท์ ในเรื่อง How to Get Ahead in Advertising

นอกจากนี้ เขายังมีผลงานการแสดงนำในหนังตลกล้อเลียนเรื่อง Tiger Bastable และซิทคอม Just A Gigolo รวมถึงปรากฏตัวในหนังชุด Carry On เรื่องสุดท้าย, Robin Hood, Red Dwarf และละครยาว Coronation Street

หลังจากหยุดพักงานแสดงไประยะหนึ่งด้วยเหตุผลส่วนตัว เขาก็กลับมาทำงานในวงการอีกครั้งกับหลายโปรเจกต์ของ BBC

ล่าสุดเขาได้เดินสายแสดงโชว์ตลกทั่วอังกฤษ และเพิ่งเปิดตัวพอดแคสต์ชื่อ Tony Slattery’s Rambling Club เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

และเหมือนกับนักแสดงดังหลายคน สแลตเทอรีก็มีปัญหาในชีวิตเช่นกัน เขาประสบภาวะร่างกายและจิตใจทรุดหนักตอนอายุ 36 ปี ในปี 1996 โดยเจ้าตัวเคยให้สัมภาษณ์กับ The Guardian เมื่อปี 2019 ไว้ว่า “ชีวิตผมมีความสุขมากจนกระทั่งเริ่มมีอาการประสาทนิดหน่อย”

เจ้าตัวมีปัญหาเรื่องเหล้าและยา มีอาการผันผวนสลับไปมา บางครั้งแยกตัวอย่างรุนแรงจนเหมือนคนไร้สติ บางครั้งกระวนกระวายอย่างหนัก เดินวนไปมา นั่งอยู่ในบ้านกับความคิดที่วนเวียนไม่จบไม่สิ้น ก่อนที่เขาต้องเข้าโรงพยาบาลหลายครั้ง และมีครั้งหนึ่งที่เขาขังตัวเองในห้องพักนานถึง 6 เดือน พร้อมกับโยนข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดทิ้งลงแม่น้ำเทมส์

สุดท้ายแพทย์วินิจฉัยว่าเขาเป็นโรคไบโพลาร์ ซึ่งอธิบายอาการต่างๆ ได้ ทั้งภาวะคลุ้มคลั่ง ความรู้สึกตื่นเต้นกับทุกอย่างมากเกินไป สลับกับการแยกตัว ความเฉยชา และภาวะซึมเศร้า

ในปี 2020 สแลตเทอรีเปิดใจกับ Radio Times ว่าเขาต้องล้มละลายเพราะ “ไม่รู้เรื่องการเงินและตัวเลขเอาเสียเลย” และ “ไว้ใจคนผิด” นอกจากนี้ในปีเดียวกัน เขาได้ร่วมแสดงในสารคดี What’s The Matter With Tony Slattery? ทางบีบีซี ทู โดยเขาและฮัตชินสันได้ไปพบผู้เชี่ยวชาญด้านโรคทางอารมณ์และการเสพติด

เขาเคยเปิดเผยเรื่องอาการป่วยของตัวเองมาก่อนแล้วในรายการ The Secret Life Of The Manic Depressive ทางบีบีซี ทู เมื่อปี 2006

สแลตเทอรี จากไปพร้อมกับฮัตชินสัน คู่ชีวิตที่อยู่ร่วมกันมากว่า 30 ปี ซึ่งพบกันครั้งแรกระหว่างการแสดงละครเรื่อง Me and My Girl ช่วงกลางยุค 80

“เขายังคงอยู่เคียงข้างผม แม้ในยามที่ผมทำตัวไร้เหตุผล ผมคิดว่านี่คงเป็นความรักที่ไม่ต้องการอะไรตอบแทน แน่นอนว่าเขาไม่ได้อยู่กับผมเพราะเงิน เพราะเราไม่มีเงินเลยสักบาท นี่แหละที่เรียกว่าความรักอันน่าพิศวง”

อ้างอิง : BBC

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

Bas

ผู้สื่อข่าวกีฬา จบการศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มีประสบการณ์เขียนข่าวกีฬากับ SMMSport กว่า 10 ปี เริ่มทำงานกับ Thaiger เมื่อ 2021 ชอบและติดตามกีฬามาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะฟุตบอลทั้งบอลไทย และต่างประเทศ 5 ลีกดังของโลก พร้อมอัปเดตข่าวสารวงการฟุตบอล แบบเข้าใจง่าย ให้เพื่อนๆและแฟนบอลได้ติดตามกันทุกวัน ช่องทางติดต่อ saral@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button