สรุปดราม่า แบนแม่หยัว ขุดฉากผิดเพียบ วางยาสลบแมว เล็บเจล ยันผ้าอ้อมเด็ก
ย้อนรอยซีรีส์ “แม่หยัว” โดนถล่ม ดราม่า #แบนแม่หยัว ร้อนฉ่า เจอขุดฉากผิดพลาดเพียบ ทั้งเล็บเจล ผ้าอ้อมเด็ก ฉากจูบกลางสระ ยันวางยาสลบแมว สังคมแห่ประณาม หวังทำฉากสมจริง จนลืมความเป็นมนุษย์
ซีรีส์ “แม่หยัว” เจอกระแสดราม่า #แบนแม่หยัว ติดเทรนด์อันดับหนึ่งบนทวิตเตอร์ หลังมีฉากให้แมวกินยาพิษจนตัวเกร็ง แม้ผู้กำกับจะออกมายอมรับว่าใช้ยาสลบจริง และมีผู้เชี่ยวชาญดูแล แต่ก็ไม่สามารถดับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ได้
นอกจากนี้ “แม่หยัว” ยังถูกวิจารณ์ถึงความไม่สมจริงในหลายๆ ฉาก เช่น ฉากเป้ย ปานวาด ทาเล็บเจล ฉากผ้าอ้อมเด็ก และฉากเลสเบี้ยน ซึ่งชาวเน็ตมองว่าบิดเบือนประวัติศาสตร์ และทำลายความน่าเชื่อถือของซีรีส์
ดราม่าที่ 1 เจลทาเล็บข้ามกาลเวลา
เริ่มต้นกันที่ประเด็นแรก เรื่องความไม่สมจริงของเครื่องแต่งกายนักแสดงซีรีส์แม่หยัว หลังจากมีชาวเน็ตตาดีจับโป๊ะ เห็นเจลทาเล็บของ พระนางจิตรวดี หรือ ท้าวอินทรสุเรนทร์ รับบทโดย เป้ย ปานวาด เหมมณี ซึ่งเป็นการตกแต่งและผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางในสมัยปัจจุบัน ไปโผล่ในสมัยของสมเด็จพระไชยราชาธิราช ส่งผลให้เกิดกระแส #แม่หยัวep2 “พระสนมทรงทำเล็บเจลจากที่ใดในอโยธายเพคะ”
จากประเด็นนี้ส่งผลให้ผู้ชม-แฟนคลับ วิพากย์วิจารณ์ถึงความไม่เป็นมืออาชีพของผู้กำกับและทีมงานที่ไม่ได้ใส่ใจต่อบทบาทละครพีเรียดฟอร์มยักษ์ซึ่งไม่ควรมองข้ามรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งเป็นจุดสำคัญของเรื่อง จนหลายคนถึงกับเทียบคุณภาพละครหลังข่าวกันเลยทีเดียว
ดราม่าที่ 2 ผ้าอ้อมเด็ก ของใช้ของดีที่แม่ ๆ ชาวอโยธยาไม่เคยใช้
กระแสแรงรอบนี้มาตกที่พระราชโอรสของ จินดา (ท้าวศรีสุดาจันทร์ / แม่หยัวศรีสุดาจันทร์) รับบทโดย ใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่ สวมซึ่งพระราชโอรสคนนี้ก็ดันสวมใส่ผ้าอ้อมแพมแพิสข้ามยุคผิดสมัยกันแบบคาตา จนความน่าเชื่อถือของผู้กำกับลดลงไปมาก
เรียกว่าดราม่าหนักหน่วงถึงขนาดที่มีคนออกมาแสดงความคิดเห็นว่า พลาดบ่อย ๆ แบบนี้ ถือว่าทำงานไม่รอบคอบ ละคร-ภาพยนตร์ เป็นธุรกิจอย่างหนึ่ง ที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ขององค์กรในอนาคต จะทำอะไรก็ควรระมัดระวัง ยิ่งเป็นหนังฟอร์มยักษ์ยิ่งไม่ควรเกิดขึ้น
ดราม่าที่ 3 บิดเบือนประวัติศาสตร์? “จินดา” จูบปาก “ตันหยง” ดูดดื่มกลางสระบัว
แม้จะไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายสำหรับฉากที่ “จินดา” และ “พระสนมตันหยง” (แสดงโดย เฟิร์น-นพจิรา ฤกษ์ขจรนามกุล) เรือล่มกลางสระบัว จบลงที่ตันหยงสารภาพรักกับจินดาพร้อมกับจูบปากกันอย่างเร้าร้อน ทำให้ #แม่หยัวep5 ขึ้นเทรนด์เอ็กซ์ในเวลานั้น
นอกจากนี้ยังมีหลายคนวิพากย์วิจารณ์ถึงความสมจริงในด้านเนื้อหาประวัติศาสตร์ว่ามีความเหมาะสมหรือมีหลักฐานอ้างอิงว่าจินดากับตันหยงมีความสัมพันธ์แบบนี้จริง ๆ รึเปล่า?
อย่างไรก็ตาม ซีรีส์พีเรีรยดกึ่งประวัติศาสตร์ คือการนำฉากหลักหรือเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในการนำเสนอเรื่องราวที่อาจมีการแต่งเสริมเรื่องราวเพื่อความบันเทิงและอรรถรสเป็นหลัก จึงอาจเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เพราะทั่วโลกก็มีการหยิบเรื่องราวหรือบุคคลในประวัติศาสตร์มาตีความหลากหลายรูปแบบเป็นปกติ
ดราม่าที่ 4 บทวางยาพิษแมว อยากสมจริงจนลืมจริยธรรม?
เมื่อเย็นวันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2567 กระแสดราม่า #แบนแม่หยัว ก็พุ่งติดเทรนด์เอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) อีกครั้ง หลังจากมีชาวเน็ตซึ่งคาดว่าเป็นทีมงานในกองถ่ายแม่หยัว โพสต์ภาพฉากวางยาสลบแมว โดยระบุข้อความว่า “น้องแมวไม่ได้ตุยจริงน้า เราวางยาสลบแมว แต่ตอนถ่ายทำแล้วน้องขย้อน กระตุก ๆ คือ นึกว่าตายจริง ป้าจ๋ากับน้องเฟิร์น หน้าถอดสี ตกใจจริง ๆ”
จากนั้น บิ๊นท์ สิรีธร หนึ่งในทีมนักแสดง ก็ได้แสดงความคิดเห็นใต้โพสต์ดังกล่าวประมาณว่า น้องแมวเล่นดีมากจนต้องเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบ้างแล้ว ไม่นานเหมือนเจ้าตัวจะเริ่มนึกขึ้นได้ว่าเป็นเรื่องไม่สมควร จึงได้โพสต์ชี้แจงว่า
“ขอโทษเรื่องเม้นท์นี้จริง ๆ นะคะทุกคน ยอยอมรับผิดจริง ๆ ตรงนี้ เพราะเข้าใจว่าเป็นกระบวนการถ่ายทำที่ถูกต้อง มีบุคลากรทางการแพทย์และมีการเซฟน้องแมวค่ะ ขอโทษพ่อแม่น้องแมวจริง ๆ นะคะ กลับไปอ่านอีกรอบก็รู้สึกแย่กับสิ่งที่พิมพ์ค่ะ เราเองก็เลี้ยงสัตว์ควรคิดให้รอบคอบกว่านี้….”
ต่อมา สันต์ ศรีแก้วหล่อ ผู้กำกับการแสดงซีรีส์ แม่หยัว ก็ออกมาโพสต์คลิปวิดีโอผ่านเฟซบุ๊ก Sant Srikaewlaw ระบุว่า
“อัพเดทน้องแมว จากที่มีหลายท่านกังวลเรื่องการถ่ายทำที่เกี่ยวกับน้องแมว ขอเรียนชี้แจงดังนี้ครับ
1. การถ่ายทำมีการวางยาสลบจริง แต่ได้รับการดูแลจากเจ้าของและผู้เชี่ยวชาญอย่างดีในทุกๆขั้นตอน
2. หลังการถ่ายทำน้องแมวฟื้นขึ้นมาและใช้ชีวิตเป็นปกติ และ ทีมงานได้มีการขอคลิปสุขภาพน้องแมวให้ส่งมาดูหลังจากวันถ่ายทำอีกหลายครั้ง
3. แต่เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย เมื่อทราบเรื่องวันนี้ ทางทีมได้มีการติดต่อโมเดลลิ่งสัตว์ที่ดูแลรับผิดชอบ ให้ถ่ายคลิปอัพเดทของวันนี้ และให้นำแมวไปตรวจสุขภาพ เพื่อยืนยันถึงสุขภาพแมวอีกครั้ง
4. เมื่อทราบถึงความกังวลใจ เราไม่ได้นิ่งนอนใจ และกำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อมาชี้แจงครับและนี่คือคลิปน้องแมว ณ ปัจจุบันครับ
ส่วนใบรับรองแพทย์จะนำมาให้ทุกท่านดูอีกครั้งเมื่อตรวจสุขภาพน้องแมวเสร็จเรียบร้อยครับ
ขอบคุณครับ สันต์ ศรีแก้วหล่อ ผู้กำกับการแสดง ซีรี่ส์เรื่อง แม่หยัว”
แม้ผู้กำกับคนดังกล่าวจะออกมาชี้แจงแล้ว แต่ประเด็นจริง ๆ คือ แมวตัวดังกล่าวมีเจ้าของไหม และถ้ามีทำไมถึงเซ็นสัญญาให้กระทำการณ์แบบนี้ได้ กรณีการวางยาสลบเพื่อเข้าฉากสัตวแพทย์สามารถทำได้ด้วยเหรอ เพราะเป็นจุดประสงค์เพื่อความบันเทิงล้วน ๆ ดูยังไงก็ผิดจริยธรรมสัตวแพทย์
กระทั่งในเวลาต่อมา ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สัตวแพทยสภา ได้รับทราบเรื่องดังกล่าวและออกมาชี้แจงว่า “ขอขอบคุณ ข้อมูล ที่ส่งมาทางสัตวแพทยสภาได้รับทราบ ในข้อกังวลที่มีภาพของแมวปรากฏในสื่อโซเชียลมีเดีย และมีการอ้างถึงว่าอาจมีการใช้ยาสลบในการถ่ายทำละคร ทางสัตวแพทยสภา จะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป”
จากการค้นหาข้อมูลเพิ่มติมพบว่า การวางยาสลบสัตว์เพื่อถ่ายทำละคร อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายได้ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสัตวแพทย์หรือไม่
- ผู้ที่วางยาสลบสัตว์ ต้องเป็นสัตวแพทย์ ที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพถูกต้องตามกฎหมาย
มีเหตุอันควรหรือไม่
- การวางยาสลบ ต้องมีเหตุอันควร เช่น เพื่อการรักษาพยาบาล การผ่าตัด หรือการเคลื่อนย้ายสัตว์ โดยต้องคำนึงถึงความปลอดภัย และสวัสดิภาพของสัตว์เป็นสำคัญ
ได้รับความยินยอมจากเจ้าของหรือไม่
- ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของสัตว์ ก่อนทำการวางยาสลบ
มีการดูแลสัตว์อย่างเหมาะสมหรือไม่
- ต้องมีการดูแลสัตว์หลังการวางยาสลบ จนกว่าสัตว์จะฟื้นขึ้นมา และอยู่ในสภาพปกติ
ในกรณีของซีรีส์ “แม่หยัว” แม้ผู้กำกับจะอ้างว่า มีสัตวแพทย์ และเจ้าของแมวดูแล แต่ก็ยังมีข้อถกเถียง ในประเด็นความจำเป็นในการวางยาสลบ และผลกระทบต่อสัตว์ ซึ่งอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย และจริยธรรม ในการใช้สัตว์เพื่อการแสดง
พระราชบัญญัติวิชาชีพการสัตวแพทย์ พ.ศ. 2545
- กำหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ ต้องมีใบอนุญาต และต้องปฏิบัติตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ
พระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557
- ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการทารุณกรรมสัตว์ โดยไม่มีเหตุอันควร
หากพบว่า การวางยาสลบสัตว์เพื่อถ่ายทำละคร เข้าข่ายผิดกฎหมาย ผู้ที่เกี่ยวข้องอาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย มีโทษทั้งจำคุก และปรับ ตามมาตรา 20 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปีหรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง