‘บิ๊กโจ๊ก’ จ่อฟ้อง ‘นายก’ บวกสาม ‘บิ๊ก ต.’ หากไม่เปลี่ยนคำสั่ง
บิ๊กโจ๊ก จ่อเดินหน้าฟ้อง นายกรัฐมนตรี บวกสาม บิ๊ก ต. ต่อ-เต่า-ต่าย หากไม่เปลี่ยนคำสั่งสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ชี้ถ้าตำรวจไม่ได้ความยุติธรรมจากตำรวจ ประชาชนจะได้อย่างไร?
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ได้ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ศาลนัดไต่สวน กรณีที่ตนได้ยื่นฟ้อง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เรื่องหมิ่นประมาทจงใจใส่ความตนด้วยการโฆษณา ที่ตนฟ้องไว้มีสองกรรม และวันที่ 1 ก.ค. 67 ก็มีอีก 1 คดี ซึ่งศาลนัดไต่สวนเหมือนกัน
วันนี้เท่าที่ทราบจากทนายความของตนก็แจ้งมาแล้วว่า ทนายความของ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ขอเลื่อน และยังไม่มาวันนี้ ซึ่งก็ไม่เป็นไร ตนก็มา ส่วนเขาจะเลื่อนก็เลื่อนไปซึ่งคิดว่าก็คงจะมีการไต่สวนกันในนัดหน้า
ส่วนที่ถามว่าทำไมเป็นเรื่องการจูงใจใส่ความหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ก็คือการที่ผู้ถูกฟ้องได้นำข้อเท็จจริงในสำนวนไปให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าสื่อจะต้องนำไปเผยแพร่ต่อสาธารณะ ซึ่ง พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561 มาตรา 48 ซึ่งระบุไว้ว่า กรณีกรณีคดีที่เจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้กระทำความผิด ให้พนักงานสอบสวน มีอำนาจหน้าที่แค่รวบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้น และส่งสำนวนไปยัง ป.ป.ช. แต่ไม่ได้ให้มีอำนาจหน้าที่ในการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ในลักษณะแสดงความคิดเห็นวินิจฉัยคดี หรือพิพากษาคดี ทำให้สังคมเข้าใจว่าตนเป็นผู้กระทำความผิดไปแล้ว ทั้งเรื่องการทุจริตต่อหน้าที่ เรียกรับผลประโยชน์ ความผิดฐานฟอกเงิน ถูกตั้งกรรมการวินัยร้ายแรงต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการใส่ความตนต่อบุคคล เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตนจึงยื่นฟ้อง เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเองต่อศาลอาญากรุงเทพใต้
นอกจากนี้ที่ผ่านมาก็ได้มีคำวินิจฉัยของศาลฎีกาแล้วว่า การออกมาแสดงความคิดเห็นในลักษณะวินิจฉัยคดีชี้นำสังคม ศาลฎีกาได้เคยมีคำพิพากษาจำคุก อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษไปแล้ว
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้บอกว่าจะไม่มีการฟ้องร้องนั้น ถือเป็นการกลืนน้ำลายตัวเองหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ไม่กลืนน้ำลายตัวเอง เพราะเรื่องนี้ตนฟ้องไว้ก่อนแล้ว และให้สัมภาษณ์กับหลายสื่อว่า ถ้าตนกลับไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตนจะถอนฟ้องทั้งหมด และเลิกทั้งหมด แต่วันนี้ตนยังไม่ได้กลับ จึงมาใช้สิทธิ์ตามปกติ ยืนยันว่าไม่ใช่การต่อรอง และไม่ปราณี ถ้าใครเป็นตนก็ต้องเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเอง ดังนั้นวันนี้ถ้าตนกลับไปแล้ว จะไปตั้งหน้าตั้งตามาขึ้นศาลก็เสียเวลาทำงาน
ส่วนคดีก็ต้องว่ากันไปอยู่ในชั้น ป.ป.ช. ตามหลักกฏหมาย คือคดีวันนี้ และคดีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ก็อยู่ในชั้นของ ป.ป.ช. หมดวันนี้ หลักกฏหมายมีกระบวนการอยู่ในขั้นตรวจสอบข้อเท็จจริง ถ้ามีมูลก็ต้องไต่สวน ถ้าไต่สวนและมีมูลก็ต้องแจ้งข้อกล่าวหา ตราบใดที่ ป.ป.ช.ยังไม่มูล ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ห้ามนำไปใช้ในการแต่งตั้ง เลื่อนยศ ปลด ย้าย หรือแม้แต่เลื่อนขั้นเงินเดือนก็ไปใช้ไม่ได้ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ ปี 60 มาตรา 29 วรรคสองก็ยังบอกว่า ตราบใดก็ตามที่ศาลไม่พิพากษาจนถึงที่สุด ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ดังนั้นจะปฏิบัติต่อจำเลย หรือผู้ต้องหาเหมือนกับเป็นผู้กระทำความผิดเลยไม่ได้
ส่วนเรื่องคำสั่งให้ตนออกจากราชการ ขณะนี้ได้มีคำวินิจฉัยของกฤษฎีกา การจะให้ตำรวจออกสามารถทำได้ แต่ต้องชอบด้วยกฎหมาย ถ้าไม่ชอบเราก็ต้องต่อสู้ตามมาตรา 131 ของ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ให้อำนาจไว้ ซึ่งอำนาจสั่งให้ตำรวจออกจากราชการได้หมดทั้งประเทศมี 3 ข้อ คือ1.ต้องหาคดี 2.ถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง และ3.ถูกฟ้องคดีอาญา
ซึ่งกรณีของตนนั้น นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งส่งตนกลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว โดยทำหนังสือและบอกว่า ด้วยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง จึงส่งตัวกลับ เมื่อรักษาการ ผบ.ตร. ตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงจะให้ตนออกจากราชการเลยไม่ได้ ต้องรอผลการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงตามมาตรา 120 วรรคสี่ ดังนั้นกรรมการสอบสวนต้องมีข้อเสนอแนะเช่นบอกว่าสอบสวนแล้วมีข้อเสนอแนะ หากให้อยู่ต่อจะเกิดความเสียหาย เห็นควรให้ออกจากตรงนี้ ผบ.ตร.จึงจะสั่งให้ตนออกได้ แต่ถ้าเซ็นให้ตนออกทันทีเลย โดยไม่ต้องตั้งกรรมการอะไร จะถือเป็นการออกคำสั่งโดยมิชอบ แต่เมื่อตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงแล้ว ท่านต้องเดินตามมาตรา 120 วรรคสี่ ที่ผ่านมานายกฯ ส่งร่างหนังสือที่จะขอให้โปรดเกล้าฯให้ตนออกจากราชการกลับไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว ภายหลังหลังจากที่นายกฯหารือกับกฤษฎีกาแล้วและระบุว่าคำสั่งไม่สมบูรณ์
อย่างไรก็ตามวันนี้ 11 โมง ตนจะไปยื่นกล่าวหา บิ๊กต่าย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผบ.ตร. ที่ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินคดี ฐานปฎิบัติหน้าที่ ละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และต้องไปเพิกถอนคำสั่งที่สั่งให้ตนออกจากราชการ ซึ่งวันนี้จะทำหนังสือถึง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ในวันนี้เหมือนกันว่าให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ถ้ายังประวิงเวลาเพิกเฉย ก็จะยื่นฟ้อง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์อีก ในฐานะที่เป็น ผบ.ตร., นายกรัฐมนตรีต้องนำเข้าที่ประชุม ก.ตร. เพื่อไม่ให้ใครเสียหน้าก็ใช้มติ ก.ตร.ไปสั่ง ผบ.ตร.ให้เพิกถอนแก้ไขคำสั่ง เพราะนายกฯสวมหมวกสองใบ แต่ไม่ใช่การไปเตะเรื่องเข้าอนุกรรมการกฏหมาย รวมถึงที่ผ่านมาตนได้ทำหนังสือถึงนายกฯแล้ว ถ้านายกฯละเลยเพิกเฉยไม่ดำเนินการอีก ก็จะยื่นฟ้องนายกฯต่อไป”
กรณีของตนไม่มีที่ไหนหรอกทำแบบนี้ ที่ส่งกลับวันเดียวกัน ตั้งกรรมการสอบสวนวันเดียวกัน และให้ออกราชการวันเดียวกัน มันไม่มีที่ไหนหรอก จึงได้บอกว่าอะไรก็ตามเมื่อรีบมันจะผิดเสมอ
ส่วนจะกลับไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เมื่อไหร่ตนก็ไม่รู้ ไม่สามารถตอบได้ แต่ถ้าถามว่าอยากกลับไปหรือไม่ ก็ต้องว่าไปตามกฏหมาย แต่ตอนนี้ตนกำลังชี้ให้เห็นว่าหากตนให้ความยุติธรรมตัวเองไม่ได้ จะไปให้ความยุติธรรมตำรวจ และประชาชนได้อย่างไร ทุกอย่างต้องเป็นไปตามหลักกฏหมาย เรื่องลงนามคำสั่งให้ตนออกจากราชการ ใครเซ็นต้องเป็นคนรับผิดชอบ ซึ่งเรื่องนี้จะจบอย่างไรตนไม่ทราบ แต่นิสัยของตนก็ต่อสู้ตามกระบวนการ และที่ผ่านมาตนก็เคยฟ้องร้องอดีตนายกฯมาแล้วหนึ่งคน ตนยึดหลักความยุติธรรม เมื่อตนถูกกลั่นแกล้ง รังแก ปัดแข้ง ปัดขา สังคมก็เห็นชัดอยู่แล้วว่าทำไมคุณไม่เพิกถอนคำสั่งสักที แล้วตนก็เป็นรอง ผบ.ตร.ลอยไปลอยมาแบบนี้ ถามว่าในการประชุม ก.ตร.ตนก็เข้าระชุมได้ แต่ตนให้เกียรติ เพราะวันนี้ตนยังมีสถานะเป็น รอง ผบ.ตร.อยู่ แต่ตนไม่เข้า เพราะให้เกียรติ ส่วนกระบวนการทางกฎหมายตนก็ต้องต่อสู้ไป
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง