เริ่มแล้ววันนี้! ดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร ถึง 5 ทุ่ม ใน 33 จังหวัด
เริ่มแล้ววันนี้ (24 ม.ค. 2565) กับการผ่อนคลายให้สามารถ ดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร ได้ถึง 5 ทุ่ม ภายในพื้นที่ 33 จังหวัด ที่ ศบค. ได้ประกาศไปก่อนหน้านี้
ตามที่ ศบค. ได้ทำการประกาศไปเมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2565 ว่าวันนี้ (24 ม.ค. 2565) ถือว่าเป็นวันแรกกับการผ่อนคลายให้สามารถ ดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร ได้ถึง 23:00 น. หรือ 5 ทุ่ม โดยมีผลบังคับใช้ในพื้นที่ 33 จังหวัดที่อยู่ในข่ายพื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) พื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า)
โดยรายละเอียดตามการเปิดเผยของ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ไว้นั้น มาตรการบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในร้านอาหารที่มีการบังคับใช้ในวันนี้ ถือว่าเป็นการผ่อนคลายจากการดำเนินการจำกัดเวลาก่อนหน้านี้ หลังพบการระบาดมากขึ้นโดยมีแหล่งที่มาจากร้านอาหารในช่วงเทศกาลปีใหม่
ภายหลังจากที่การระบาดได้ลดลงอีกครั้ง และการเรียกร้องของบรรดาผู้ประกอบการร้านอาหาร ทำให้ทาง ศบค. ได้ดำเนินการออกมาตรการผ่อนคลายให้สามารถดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร หรือสถานที่ที่มีลักษณะเดียวกันได้อีกครั้ง ถึงเวลา 23:00 น. (5 ทุ่ม) ภายในพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว (สีฟ้า 8 จังหวัด) และพื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง 25 จังหวัด) ;
– การจำกัดเวลาในการบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ไม่เกิน 23.00 น. ปรับจากเดิม 21.00 น.
– การจำกัดประเภทร้านอาหารที่บริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ได้ต้องเป็นร้านอาหารที่ผ่าน SHA+ หรือ Thai Stop COVID 2 Plus เท่านั้น และตามมาตรการ COVID Free Setting
ทางด้านของจังหวัดที่มีการผ่อนคลายนั้นมีด้วยกันดังต่อไปนี้
สำหรับพื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) จากเดิมไม่มี ปรับเป็น 25 จังหวัด ประกอบด้วย
กำแพงเพชร / ชัยนาท / ชัยภูมิ / นครพนม / นครสวรรค์ / นราธิวาส / บึงกาฬ / ปัตตานี / พิจิตร / พิษณุโลก / เพชรบูรณ์ / แพร่ / ยะลา / ลำปาง / ลำพูน / เลย / สกลนคร / สิงห์บุรี / สุโขทัย / สุพรรณบุรี / หนองบัวลำภู / อ่างทอง / อำนาจเจริญ / อุตรดิตถ์ / อุทัยธานี
ส่วนพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า) เป็น 8 จังหวัดเหมือนเดิม ประกอบด้วย
กรุงเทพมหานคร / กาญจนบุรี / กระบี่ / ชลบุรี / นนทบุรี / ปทุมธานี / พังงา / ภูเก็ต
แหล่งที่มาของข่าว : Facebook Page – ศูนย์ข้อมูล COVID-19 / ฐานเศรษฐกิจ
สามารถติดตามข่าวโควิด-19 เพิ่มเติมได้ที่นี่ : ข่าวโควิด-19