หนิง ปณิตา เปิดอกหมดเปลือก เล่าชีวิตที่ผ่านมา 10 ปีนี้ ไม่เคยทำอะไรเพื่อตัวเองเลย
หนิง ปณิตา ร่ำไห้หนัก เปิดใจหมดเปลือก ตลอดชีวิตที่ผ่านมา 10 ปี อดทนมาตลอด ไม่เคยทำอะไรเพื่อตัวเองเลย จากนี้ขอเติมความสุขให้ตัวเองบ้าง
ถือเป็นนักแสดงและคุณแม่สุดแกร่งแห่งวงการบันเทิงไทยคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ สำหรับ หนิง ปณิตา ที่ชีวิตของเธอได้ผ่านมรสุมมากมายในช่วงที่ผ่านมา จนแฟนคลับและเพื่อน ๆ ของเธอต้องตามให้กำลังใจอยู่ตลอด แต่ก็สามารถผ่านพ้นเรื่องร้าย ๆ มาได้เป็นอย่างดีและเริ่มต้นใหม่อย่างสวยงาม
ล่าสุด หนิง ปณิตา ได้ออกมาเปิดใจผ่านรายการ WOODY FM เผยหมดเปลือกหลังหย่ากับอดีตสามีและต้องสะสางเรื่องคดีกับมือที่สาม เล่าทุกเรื่องถึงบทเรียนที่ผ่านมาตลอด 10 ปีว่าชีวิตนี้เธอไม่เคยทำอะไรเพื่อตัวเองเลย มีแต่ทำเพื่อครอบครัวมาโดยตลอด
รู้สึกว่าหนิงเลือกที่จะหยุดนิ่งเงียบในบางเรื่อง ในสมัยก่อนคิดว่าคงจะไม่ยอม แต่คราวนี้คุณกลับเงียบและใช้เวลาไตร่ตรอง กระบวนความคิดของคุณที่ผ่านมาต่างจากอดีตยังไง?
“เพราะหนิงมีลูกไงพี่ แล้วเด็กคนหนึ่งที่หนิงฟูมฟักมาตั้งแต่ในท้อง ทุกคนที่รู้จักน้องนิลินก็จะชื่นชมเขา ว่าเขาเป็นเด็กมีสัมมาคารวะ มีมารยาท มีความสุข แอคทีฟในการทำอะไรหลายๆ เรื่อง แล้ววันหนึ่งลูกของหนิงเริ่มเปลี่ยนไปไม่แอคทีฟในเรื่องที่ควรจะมีความสุขในแบบเด็ก แล้วสิ่งที่อยู่ในความคิดเขาก็จะเป็นเหมือนหนิงในภาคเวลาที่หนิงรักเพื่อนคือคอยห่วงคนโน้นห่วงคนนี้”
“ทั้งหมดทั้งโลกเขาก็จะคอยห่วงว่าวันนี้แม่จะเป็นยังไง แม่ร้องไห้ไหม แม่ออกไปทำงานเป็นยังไงบ้าง มันทำให้โลกทั้งใบของเขาตรงนั้นแทนที่จะไปใช้ชีวิตที่สดใส ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ตรงนั้นมันถดถอยลง แล้วก็แบกทุกอย่าง ความรู้สึกของคนรอบข้างแบบที่แม่เป็นในวัย 10 กว่าขวบ”
ความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูกเป็นยังไง?
“เหมือนเพื่อน เขาก็เป็นทุกอย่างให้หนิงเป็นพลัง หนิงก็เป็นทุกอย่างให้เขา มันเหมือนเราเป็นคน ๆ เดียวกัน”
ดังนั้นที่ผ่านมาทุกเรื่องราว เขาพูดกับแม่ตรงๆ เลยไหม ไม่แน่ใจว่าสื่อที่บ้านเปิดรับขนาดไหนสำหรับเขา?
“วันนี้น่าจะยากตรงที่ว่าเราปิดอะไรไม่ได้ จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเราปิด แต่เขารู้จากเพื่อน เพื่อนๆก็รู้จากพ่อแม่ตัวเอง เลยเป็นอะไรที่ทำให้เราปิดไม่ได้เลย เขารู้ในประเด็นที่ว่าเรามีปัญหากันอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เราพยายามจะแสดงหรือทำให้เขาเห็นเหมือนกับว่าเราไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน”
“อันนั้นมันคือผู้ใหญ่ 2 คนที่มีปัญหา ตัวคุณไม่ได้มีปัญหาอะไร การที่ผู้ใหญ่ 2 คนมีปัญหากันไม่ได้หมายความว่าเด็กต้องมีปัญหา คือที่บ้านจะไม่ทำอะไรเป็นเรื่องใหญ่ แต่พอสื่อมันเยอะ บางเรื่องเราไม่ได้บอกรายละเอียด แต่คนไปถามเขาถึงในรายละเอียด มันเจ็บปวดตรงนี้”
“แล้วเวลาเด็กคุยกัน โอ้โห เด็กเขาไม่ได้คุยอะไรต่างจากพวกเราเลย สิ่งที่เด็กเม้าท์ก็ไม่ต่างจากพวกเรา แต่สิ่งเดียวที่เด็กต่างจากเราคือกระบวนการความคิด เขาจะคิดถูกคิดผิดต่างจากเรา เพราะเรามีประสบการณ์มากกว่าเท่านั้นเอง ความโชคดีของหนิงคือ หนิงมีกุนซือ ขอนุญาตใช้คำนี้”
“จริง ๆ วันที่หนิงแย่มากๆ ถามว่าเพื่อนหนิงรู้เรื่องไหม รู้เรื่องประปราย แต่ไม่ได้หมายความว่าโทรคุยกับเพื่อนตลอดเวลา แต่ว่าวันนี้ไม่ไหวในการตัดสินใจของตัวเองจริงๆ ด้วยเหตุและด้วยผลและด้วยอารมณ์ หนิงจะโทรหา พี่อ้อม สุนิสา เขาก็จะเป็นฝ่ายสนับสนุนในแง่ว่าให้ทางเลือก คุณจะทำแบบที่คุณคิดก็ได้แต่ผลอย่างนี้อันนี้จากที่พี่คิดนะ แต่ถ้าทำแบบนี้ผลจะเป็นอย่างงี้ๆ หนิงก็เอากลับไปคิดแล้วก็กลับมาคุย”
10 ปีที่ผ่านมาหนิงได้เรียนรู้อะไรมากที่สุด?
“สติและความใจเย็น ทุกปัญหาเวลาเข้ามาหนิงเชื่อว่าเวลาใครมีปัญหา ก็รู้สึกว่าเราอยากจะหลุดจากปัญหา แต่เมื่อหลุดจากปัญหาไม่ได้ เราจะรับมือกับปัญหาอย่างไรให้มีผลกระทบต่อตัวเรา ต่อใจตัวเราให้น้อยที่สุด คือผู้ใหญ่ชอบสอนบอกว่า มีเรื่องอะไรหนัก ๆ ก็บอกว่าช่างมันเถอะ ๆ คำว่าช่างมันดูเหมือนทำง่ายแต่มันทำยากมากแต่เมื่อทำได้แล้วคำว่าช่างมันก็จะต่อไปอีกว่าช่างมันแล้วยอมรับกับมันไหม ยากไปอีกสเต็ปแล้วพอยอมรับกับมันเสร็จ ยอมที่จะปล่อยมันไหม” ”
“กระบวนการของหนิงสุดท้ายช่างมันยอมรับอยู่ให้มันมีความสุข แต่มันไม่มีหรอกยอมรับแล้วอยู่ให้มันมีความสุขจริง ๆ อ่ะ คนเรามีหัวจิตหัวใจ แล้วถ้าอยู่ได้ไม่มีความสุขจริง ๆ 100% ปล่อยไหม แล้วพอปล่อยมันก็จะมีความกลัว ๆ แต่พอได้ปล่อยจริงๆ โห! มันแค่นี้จริงๆ เหรอ”
ที่ไม่ปล่อยแล้วแบกไว้ นี่คือกี่ปี?
“10 ปี”
10 เป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่มาก ในเรื่องนี้หนิงทนและอยู่จนสุดๆ ว่าทนจนสุดจะเป็นยังไง?
“คือบางครั้งหนิงอยากจะลบคำตราหน้า ลบคำที่โดนตำหนิติฉินทุกอย่างมาตลอด หนิงเป็นคนที่เสียเพราะว่าหนิงใจร้อน ทำอะไรเร็ว ใช้อารมณ์ ปากไม่ดี พูดจาตรงไปตรงมา แต่ทั้งหมดหนิงยังเป็นแบบหนิงคนเดิมได้นะ เพียงแค่ใจเย็น ๆ และจากที่คิดอะไรแล้วพูดเลย เราก็แค่เอาเหตุผลมานำก่อน ว่าทำยังไงให้เราคิดแบบนี้ แต่เป้าหมายเดิม”
“ความเร็วในการตัดสินใจและการทำอะไรลดลงมาก พอมันลดลง เวลาที่มันลดเราต้องใช้ความพยายามมากใช่ไหมแต่มันจะมีความรอบคอบมากขึ้น เราก็จะเห็นระหว่างทางแล้วว่าอะไรเป็นจุดด้อยของเราก็จะลงไปขยี้ในจุดนั้นเพื่อแก้ไขและปรับปรุง แล้วพอวันที่เราตัดสินใจว่าปล่อย เราจะไม่มี 1 2 3 4 5 ที่เราจะต้องมาตอบคำถามตัวเองว่าเราทำดีแล้วหรือยัง”
“ที่ทนไม่ใช่ทนเพราะอยากจะยื้อหรือยังอยากจะรัก ความรักมันจบไปนานมากแล้ว แต่ที่ทนที่ยื้อมีแค่ 2 สิ่ง ถ้ามันดีเกิดดวงดีโชคดีนะลูกของเราก็จะได้สมบูรณ์ แต่ถ้าดวงไม่ดีโชคไม่ดี แต่บนความไม่ดีที่จะต้องปล่อย แล้วเดินออกมาหนูจะจบทุกอย่างแบบที่ใครที่เคยว่าเราเอาไว้ทั้งหมด จะพิสูจน์ใช้เวลากับมันให้รู้ว่าคนๆหนึ่ง ถ้าเราเปลี่ยนคนอีกคนไม่ได้ เราสามารถเปลี่ยนตัวเราเองได้จริง ๆ นะ” ”
มันอาจจะไม่ถูกใจใคร 100% นะ แต่มันดีที่สุดสำหรับตัวเรา แล้วยิ่งวันนี้การที่หนิงโทรหาคนน้อยที่สุด การที่เราตัดสินใจแบบนี้แล้วปรึกษาคนน้อยที่สุด มันทำให้เห็นว่าเราเปลี่ยนได้จริงๆจากตัวเรา ไม่ใช่จากที่มีเสื่อคอยรับ ๆ ๆ แล้วสุดท้ายไม่รู้จริงหรือเปล่า”
ระหว่างที่เจอเรื่องราวทั้งหมดคุณก็ยังทำงานได้ดี มีพลังกับการทำงาน เพราะคุณเป็นคนที่จริงจังมาก ทั้งหมดทั้งปวงพี่แอบรู้สึกว่าถ้าคุณไม่มีงานจะบ้าไหม ถ้าไม่มีงานก็อยากรู้ชีวิตคุณจะเป็นยังไง?
“คือชีวิตหนิงเนี่ยนะ ถ้าอยู่เฉยๆโดยไม่ต้องทำงาน หนิงว่าหนิงบ้า เพราะพลังขับเคลื่อนหนิงทั้งหมด มันถูกขับเคลื่อนด้วยพลังในการทำงาน เพราะมีจุดมุ่งหมายว่าหนิงทำงานต้องการอะไร เรามีคนข้างหลังที่เป็นห่วงอีกเยอะแยะมากมาย ที่สุดก็คือลูกหนิง แม่หนิง ครอบครัวหนิง แล้วเรายังมีลูกน้องที่เขาเป็นทหารคอยอยู่ข้างหลังเรา”
“คนเรามันจะประสบความสำเร็จได้ ในวันนี้ที่เป็น หนิง ปณิตา เราไม่ได้เก่งคนเดียว และหลายๆเรื่องหนิงก็ดันไม่เก่งด้วย หนิงมีแม่ทัพซ้ายขวามีขุนพลมีทหารที่สนับสนุนอยู่ข้างหลัง แล้วถ้าวันนี้หนิงล้มคนข้างหลังเราอีกเท่าไหร่ เราก็ต้องพยายามจะยืนขึ้นมาให้ได้ เรามีเรื่องต้องทำ เรามีเป้าหมายข้างหน้า”
ล่าสุดที่หนิงได้แสดงความรักกับตัวเองจริงๆ คือตอนไหน เพราะรู้สึกว่าชีวิตที่ผ่านมา คุณให้ใจกับทุกคนอย่างเดียว?
“ไม่มีอ่ะ เวลาซื้อของ แต่จริงๆมันก็แค่บำบัดชั่วคราว จนกลายเป็นวันนี้เชื่อไหมใครถามว่าอยากได้อะไรบ้างไปซื้อของคลายเครียดกัน ไม่อยากได้อะไร”
ที่พูดมาพี่ไม่เห็นว่าคุณทำอะไรเพื่อตัวเอง เลยไม่รู้ว่าคุณเคยชื่นชมตัวเองหรือเปล่า?
“พี่รู้ไหม คำถามนี้เป็นคำถามที่ทั้งพี่อ้อมเอง ทั้งที่ปรึกษาเอง ก็บอกว่าให้หนิงไปหามาหน่อย เขาถามว่าอะไรที่มันเป็นความสุขของคุณหนิง ทำให้หมอหน่อยได้ไหม หนิงก็บอกว่าความสุขของหนิงเหรอ หนิงเป็นคนชอบแต่งตัวสวยๆ เป็นคนชอบไปนวดหน้าทำเล็บ ทำผม รู้สึกว่าตัวเองสวยแล้วหนิงมีความสุข”
“หนิงก็ไปทำตามที่หนิงพูดกับที่ปรึกษา มีอยู่วันหนึ่งทั้งวันหลังจากที่ปรึกษาพูด เราก็เข้าเอ็มควอเทียร์เลย ไปช้อปปิ้ง เอาเข้าจริงๆ มันก็ไม่ใช่ เชื่อไหมว่าสัมภาษณ์มาหลายรายการเลยนะ ยังไม่เคยร้องไห้ พี่ว่าหนิงร้องไห้ง่ายไหมถ้ามีกล้อง ยากมากนะพี่ น้อยมาก หนิงเป็นคนไม่ค่อยร้องไห้โดยไม่จำเป็น จนเพื่อน ๆ พูดว่าร้องไห้บ้างก็ได้”
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง