‘วิโรจน์’ รับโกรธจริง หลังเคยพูดว่า ถ้าตอน ‘สส.ปูอัด’ ก้มโค้ง คงชกไปแล้ว
วิโรจน์ รับโกรธจริง หลังเคยพูดว่า ถ้าตอน สส.ปูอัด ก้มโค้ง คงชกไปแล้ว เผยตอนกระบวนสอบสวนไม่รู้เลยเป็นใคร แต่พอแถลงรู้เลยว่าใครเป็นเหยื่อ
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ในรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ถึงกรณี สส.ปูอัด หรือ นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ สส.กทม. อดีตพรรคก้าวไกล โดยนายสรยุทธได้ถามประโยคที่นายวิโรจน์เคยระบุว่าถ้านายวิโรจน์อยู่ตรงที่ปูอัดโค้ง คงชกไปแล้ว
ในประเด็นนี้อดีตผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่า กทม. ยอมรับว่าตนโกรธจริงๆ พร้อมระบุว่าเชื่อไหมว่ากระบวนการสอบสวน กรรมการวินัย ไม่เคยระบุชื่อ และตนไม่รู้เลยว่าผู้เสียหายคือใคร เห็นแต่ข้อเท็จจริง พอการแถลงข่าวของนายไชยามพวาน โยงข้อมูลผู้เสียหาย ทำให้รู้ว่าเป็นใคร ตนตกใจมาก ครอบครัวของเขาโทรมาต่อว่าตน ตัดพ้อว่าทำไมไม่เคยติดต่อหาเขาเลยถึงเรื่องแบบนี้ ตนก็บอกว่าไม่รู้ว่าผู้เสียหายคือใคร ก็รู้จากการแถลงข่าว
“หัวอกคนเป็นพ่อแม่ ก็เตือนลูกหลานว่าต้องระวังตัว น่าเห็นใจผู้เสียหาย พอรู้ว่าเป็นคนในครอบครัว ใจมันสลาย ครอบครัวเขาก็โทรมาต่อว่าผม ซึ่งผมก็บอกเขาไปว่าเพิ่งรู้เหมือนกัน ซึ่งมันไม่ควรกระทำกับผู้เสียหายซ้ำ นาทีนั้นผมฟังแล้วโกรธมาก การพูดแล้วโยงผู้เสียหาย มันเป็นเรื่องไม่พึงกระทำอย่างยิ่ง มนุษย์ไม่พึงกระทำ ผมเคยช่วยเขาหาเสียง เขาตั้งใจทำงาน ทำงานดีแต่พฤติกรรมไม่ดี มันชดเชยกันไม่ได้ ผมไม่เคยโทรไปต่อมาและเชื่อว่าเขาคงไม่กล้าสู้หน้าผม เคยแนะนำว่าเขาต้องยอมรับความจริง แต่คิดว่าเขาไม่เชื่อ” นายวิโรจน์ กล่าว
ส่วนกรณีที่ สส.ปูอัด ก้มโค้งนั้น ซึ่งการโค้งคำนับไม่ได้การยอมรับผิด เป็นแค่การแสดงหรือลดผลกระทบต่อเขา แต่ตราบใดที่เขาไม่ยอมรับ ผลกระทบในเชิงลบจะเกิดกับเขาไปเรื่อยๆ
นายวิโรจน์ กล่าวว่า ทั้ง 2 กรณี เป็นมติเอกฉันท์ว่าทำผิดจริง ทั้งกก.วินัยและสส.ก็เห็นว่าผิดจริง แต่ 2 สส.อาจเห็นต่างในเรื่องการกำหนดโทษ แต่เมื่อเขาแถลง โยงผู้เสียหาย สร้างความเสียหายซ้ำ ไม่ปฏิบัติตามมติพรรค ก็เข้าสู่กนะบวนการครั้งที่ 2
เมื่อถามว่ากรณีนายไชยามพวาน มีพฤติกรรมล่วงละเมิด 1 คุกคามทางเพศ 3 ทำไมก้าวไกลไม่ลงโทษขั้นสูงสุด นายวิโรจน์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของหลักฐาน กรณีนายวุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี มีหลักฐานแชท โต้แย้งไม่ได้
ส่วนกรณีนายไชยามพวาน กก.วินัยสอบแล้วเห็นว่ามีโทษร้ายแรง แต่ 22 สส.ฟังแล้วมองว่ามีหลักฐาน แต่ความหนักเบาของหลักฐานไม่เท่ากัน อย่างไรก็ตาม กรณีที่เกิดขึ้น สะท้อนว่าก้าวไกลมีความเป็นประชาธิปไตยจริงๆ เมื่อผลโหวตกรณีนายไชยามพวาน ออกมาเช่นนี้ในครั้งแรก ทุกคนก็ตกใจแต่เราต้องรับผลกระทบอย่างกล้าหาญ ต้องปฏิบัติตามมติ แม้เราจะไม่พอใจก็ตาม
นายวิโรจน์ กล่าวว่า ยอมรับว่าเรื่องนี้กลบการทำงานของก้าวไกล บั่นทอนการทำงานอย่างมาก อย่างตนมีเรื่องจะแก้ปัญหาเรื่องผู้รับเหมาพิเศษ 76 ราย เรื่องนี้กลบการทำงานของตนเอง หรือการร่วมข้อตกลงคุณธรรม ยอมรับก้าวไกลมีปัญหาจริงๆ และเราอยากแก้ปัญหาให้เร็วกว่านี้ด้วยซ้ำ สุดท้ายเราตัดสินใจแก้ปัญหา วันนี้ก้าวไกลมีข้อบกพร่อง แต่สิ่งที่ตนสบายใจคือ เราไม่กลัวเรื่องจำนวนสส.จะลดลงหรือไม่ ซึ่งเรื่องจำนวนสส. กระทบโควตา ไม่อยู่ในสารบบคิด ผิดก็ขับ เข้าใจว่าระหว่างกก.วินัยสอบสวน ได้ขอให้ลาออกแต่ไม่ได้รับการตอบสนอง
ส่วนที่กระแสสังคมวิจารณ์ก้าวไกลเป็นก้าวกามนั้น เราต้องน้อมรับการวิจารณ์ ปัญหาเกิดขึ้นทุกองค์กร สำคัญคือองค์กรจัดการอย่างไรมากกว่า ถ้าเก็บคนที่ผิดไว้ ต่อไปองค์กรก็ล่มสลาย ทุกองค์กรมีคนไม่ดีแฝงตัว สำคัญว่าเก็บคนหรือเก็บปัญหา หรือเปิดเผยปัญหา กรณีนายไชยามพวาน ไม่มีผู้ร้อง กก.วินัยหยิบยกเพราะมีข้อครหาขึ้นมาพิจารณา
เมื่อถามว่าแสดงว่าพรรคก้าวไกลมีปัญหาเรื่องการคัดกรอง นายวิโรจน์ กล่าวว่า การล่วงละเมิดมี 2 องค์ประกอบ 1.ความเต็มใจ 2.อำนาจเหนือ การให้คุณให้โทษ ต้องย้ำการเต็มใจที่อยู่ภายใต้อำนาจเหนือ การไม่ปฏิเสธไม่ใช่ว่าเต็มใจ อาจรู้สึกกระอักกระอ่วน เราหวังว่าเรื่องที่มีจะน้อยลง แต่ยืนยันว่าถ้ามี เราจะจัดการอย่างตรงไปตรงมา ไม่อยากเทียบพรรคอื่น ในอดีตหลายพรรคเลือกที่จะปกปิด ช่วยพวกพ้องช่วยสส. แต่ไม่อยู่ในสารบบของก้าวไกล
การจะสูญเสียคนไม่ดีไปบ้าง เราดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ถ้าให้รับว่าปัญหาไม่เกิดขึ้นอีกคงไม่ได้แต่จะให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด เมื่อเกิดขึ้น เราจะจัดการอย่างตรงไปตรงมา เคสที่ผ่านมายอมรับว่าช้า แต่การขับคนออกจากสมาชิกพรรคเหมือนโทษประหาร ยืนยันต้องให้ความเป็นธรรมและจัดการตรงไปตรงมา ปกป้องผู้เสียหายไว้ก่อนและให้พื้นที่ปลอดภัยกับผู้เสียหาย ส่วนผู้ถูกกล่าวหาจะพิพากษาว่ามีความผิดทันทีไม่ได้ โทษสังคมมันรุนแรง ต้องมีกระบวนการสืบสวน เราใช้เวลานานไป แต่ผู้เสียหายจะไว้ใจกก.วินัย มาให้ข้อมูล มันยาก เพราะกก.วินัย ไม่ใช่ญาติหรือคนสนิท ขอบคุณทนายแจม