อัปเดตชีวิตล่าสุด “นุ๊ก สุทธิดา” เล่าประสบการณ์ป่วย มรสุมทั้งมะเร็งและซึมเศร้า แค่แปรงฟันยังไม่มีแรง ได้แต่นอนทั้งวัน มีแค่ลูกที่ช่วยเยียวยาได้
ทำเอาแฟนคลับหายห่วง เมื่อเห็นว่านักร้องสาว นุ๊ก สุทธิดา เกษมสันต์ ณ อยุธยา กลับมาแข็งแรงสุขภาพดีเหมือนเดิมแล้ว โดยสาวนุ๊กได้ออกมาเล่าอาการป่วย ทั้งมะเร็งและซึมเศร้า เผยตอนนั้นผิวกร้านดำ ผมร่วง อีกทั้งยังมีอาการแพนิค ก่อนระบุว่าเป็นมะเร็งยังง่ายกว่าซึมเศร้า เพราะถ้ามีสติก็อยู่กับมะเร็งได้ แต่ซึมเศร้าทำให้ไม่อยากเจอใคร นอนหลับไม่สนิท พร้อมแนะนำว่าต้องคุยกับหมอ ห้ามดื้อจนกว่าหมอจะบอกว่าหายดีแล้ว
เมื่อวานนี้ (4 ก.ย. 66) นุ๊ก สุทธิดา และลูกชาย ได้ไปเป็นแขกรับเชิญในรายการแฉ ช่อง GMM25 ก่อนจะพูดถึงเรื่องราวชีวิตขณะที่ป่วย โดยระบุว่าป่วยซึมเศร้าเพราะยา แต่โชคดีมีลูกทำให้เศร้าได้ไม่นาน ถือเป็นข้อดีของการมีลูก
นุ๊กเผยว่าตนเคยกินยาผิดจนซึมเศร้า ซึ่งตนโทษว่าอาจจะเป็นเพราะยาที่หมอจ่ายผิด และอาจเป็นเพราะไทรอยด์ ที่ไปเกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความเครียด ความซึมเศร้า เชื่อมโยงกันไปหมด จนนำไปสู่อาการแพนิคซึ่งมักมาคู่กับโรคซึมเศร้า
โดยนุ๊ก สุทธิดา ได้บอกด้วยว่า เป็นมะเร็งยังง่ายกว่าซึมเศร้า เพราะแค่หายใจก็รู้สึกเหนื่อย “คนเราถ้ามันไม่มีความหวัง มันไม่รู้จะอยู่ทำไมเข้าใจไหมคะ? ความรัก ความหวัง ความฝัน เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในชีวิต แต่คนที่เป็นซึมเศร้าไม่มีเรื่องพวกนี้เลย ซึ่งไม่มีเหตุผลด้วยนะ เราไม่มีเรื่องที่เครียด แต่ฮอร์โมนในสมองมันไม่บาลานซ์”
นอกจากนี้นุ๊กยังบอกด้วยว่า ถ้าเป็นมะเร็งมีสติก็อยู่ได้ แต่ถ้าต้องกลับไปเป็นซึมเศร้าอีกครั้งขอไม่อยู่ดีกว่า ก่อนบอกว่าตอนนี้ถ้าเป็นซึมเศร้า ต้องออกกำลังกาย ดูแลตัวเอง ทานอาหารที่มีประโยชน์ พยายามไม่กลับไปเป็นซึมเศร้าอีก
ทั้งนี้นุ๊ก สุทธิดาเผยว่า โชคดีอย่างหนึ่งหลังการเป็นซึมเศร้า ก็คือเวลาเจออะไรเข้ามาทำให้รู้สึกปลง และเข้าใจว่าเคมีในสมองของคนในตอนนั้นอาจไม่บาลานซ์
นุ๊กเผยว่าตอนที่ป่วย แค่จะแปรงฟันยังยาก ซึ่งอาการซึมเศร้าทำให้เธอไม่อยากเจอหน้าใคร หน้าตัวเองก็ไม่อยากส่องกระจก แถมยังมีอาการนอนสะดุ้งตลอดเวลา อยากหลับไปนาน ๆ แล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีก แต่มันก็ตื่นอยู่ดี
ก่อนจะเล่าปิดท้ายว่า “ไม่สามารถสื่อสารกับใครได้ในตอนนั้น ไม่อยากพูดอะไรกับใคร ตื่นมามองไปนอกหน้าต่าง เห็นใบไม้ก็เหนื่อยแล้ว ถามตัวเองตลอดว่าลืมตาขึ้นมาทำไม”
พร้อมกันนี้นุ๊กได้พูดถึงการรักษาของเธอเอาไว้ว่า “การคุยกับหมอสำคัญมาก ทำงานให้เป็นทีมเวิร์กเดียวกับหมอ อะไรที่เป็นแพลนคุณหมอวางไว้ ไม่ดื้อกับหมอ จนกว่าหมอจะบอกว่าจบ”
