ข่าว

อ.เจษฎ์ โพสต์เตือน พิษหมึกบลูริง อันตรายถึงชีวิต ห้ามกินเด็ดขาด!

รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ เตือนประชาชนให้ ระวัง “หมึกบลูริง” มีพิษร้ายอันตรายถึงชีวิต คนกินมีอาการคลื่นไส้ แน่นหน้าอก พร้อมให้ข้อมูลการปฐมพยาบาลเบื้องต้น

อ.เจษฎ์ หรือ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์สอนวิทยาศาสตร์ประจำภาควิชาชีววิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิทยาศาสตร์ และนักสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ ได้ออกมาโพสต์เตือนผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับอันตรายจากพิษร้ายของ หมึกสายพันธุ์บลูริง ที่เมื่อทานเข้าไปแล้วอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ แน่นหน้าอก และเสียชีวิตได้

Advertisements

ทั้งนี้ “หมึกสายวงน้ำเงิน” หรือ “หมึกบลูริง” (Blue-ringed Octopus: Hapalochlaena spp) สามารถพบได้ทั้งในทะเลอ่าวไทย และทะเลฝั่งอันดามัน มีพิษที่ผสมอยู่ในน้ำลายที่มีความร้ายแรงมาก ซึ่งร้ายแรงกว่างูเห่าถึง 20 เท่า ผู้ที่ถูกกัดจะตายภายใน 2-3 นาที นับเป็นหนึ่งในสัตว์น้ำที่มีพิษร้ายแรงมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก

สารพิษของหมึกสายวงน้ำเงินนั้น เรียกว่า เตโตรโดท็อกซิน (tetrodotoxin) เป็นพิษชนิดเดียวกับที่พบในปลาปักเป้า ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท โดยจะเข้าไปขัดขวางการสั่งงานของสมองที่จะไปยังกล้ามเนื้อที่อยู่ใต้อำนาจจิต คนที่ถูกพิษจะมีอาการคล้ายเป็นอัมพาต หายใจไม่ออกเนื่องจากกล้ามเนื้อกะบังลมและหน้าอกไม่ทำงาน ทำให้ไม่สามารถนำอากาศเข้าสู่ปอดได้ เป็นสาเหตุให้เสียชีวิต

เตือน พิษหมึกบลูริง อันตรายถึงชีวิต อ.เจษฎ์

เตือน “พิษหมึกบลูริง” อันตรายถึงชีวิต

“หมึกสายวงน้ำเงิน ห้ามนำมารับประทานนะครับ แม้จะทำให้สุกก็ตาม เมื่อวานนี้ มีคนนำภาพของปลาหมึกในอาหาร (น่าจะประเภทปิ้งย่าง หรือจิ้มจุ่ม) มาโพสต์ถามในกลุ่ม FB ที่เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตในประเทศไทย 3 กลุ่ม (คือ กลุ่ม งูไทยอะไรก็ได้ , siamensis.org , นี่มันตัวอะไรกัน ) ด้วยความที่เขาสงสัยว่าเป็น “หมึกบลูริง” หรือเปล่า

และคำตอบก็ออกมาค่อนข้างเป็นเอกฉันท์นะครับ ว่าเจ้านี่น่าจะเป็น “หมึกบลูริง หรือหมึกสายวงน้ำเงิน” สายพันธุ์หนึ่งของปลาหมึกที่มีพิษร้ายแรงมาก พบได้ในประเทศไทย

Advertisements

และมีคำเตือนกันมาหลายครั้ังแล้ว ว่าห้ามนำมาจำหน่ายเพื่อการบริโภคเด็ดขาด เพราะถึงแม้จะเอาไปทำให้สุกก็ตาม แต่สารพิษในตัวมันก็ทนความร้อนสูงได้ถึง 200 องศา

ต่อมพิษของหมึกบลูริงจะอยู่ที่ปาก (ที่ต่อมน้ำลาย salivary gland) ไม่ได้กระจายทั่วไปตามลําตัว ผู้ที่ได้รับพิษนั้นจึงมักเกิดจากการถูกมันกัด ไม่ใช่จากการสัมผัสโดนตัว แต่ก็ไม่ควรรับประทานเข้าไปอยู่ดี เพราะอาจเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายได้

วิธีสังเกตก็คือ มันเป็นหมึกสาย รูปทรงแบบเดียวกับปลาหมึกยักษ์ตัวเล็กๆ หัวโตๆ หนวดเยอะๆ (ไม่ใช่แบบปลาหมึกกล้วย หรือหมึกกระดอง) และที่สำคัญคือ มีลวดลายรูปวงแหวนอยู่ทั่วไป ทั้งที่ตัวและหนวด

ซึ่งจะแตกต่างกับพวกหมึกสายอิ๊กคิว ที่มีวงแหวนแค่ 1-2 วงที่ตัว อันนั้นไม่มีพิษ สามารถนำมาทานได้ (ดูภาพเปรียบเทียบได้ที่ https://www.facebook.com/…/pfbid0dtJwVLrrvvQLn3xsgxSd7E...)

โดยหมึกบลูริงจะมีลักษณะลำตัวขนาดเล็ก มีลายวงแหวนสีฟ้าสะท้อนแสงเล็กๆ กระจายอยู่ตามลำตัวและหนวด ตัวเต็มวัยมีขนาด 4-5 เซนติเมตร และหนวดยาวประมาณ 15 เซนติเมตร อาศัยอยู่ตามซอกหินและชอบหลบซ่อนตัวอยู่ในทรายใต้ท้องทะเล เคลื่อนที่โดยการใช้หนวดเดินจะไม่ใช้การพ่นน้ำเพื่อพุ่งตัวในการเคลื่อนที่เหมือนหมึกกล้วย

พิษของหมึกบลูริงหรือหมึกสายสีน้ำเงินมีชื่อว่า Maculotoxin (มาคูโลทอกซิน) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับพิษของปลาปักเป้าที่มีชื่อว่า Tetrodotoxin (เทโทรโดทอกซิน) สามารถพบพิษนี้ได้ในต่อมน้ำลาย (Salivary gland) ปาก หนวด ลำไส้ และต่อมหมึก พิษชนิดนี้จะทำลายระบบประสาททำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ และทำให้เหยื่อตายหรือเป็นอัมพาต

ผู้ที่ถูกหมึกบลูริงกัดเปรียบเหมือนการฉีดยาพิษเข้าเส้นเลือดโดยตรง โดยพิษจะออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว และเร็วกว่าพิษจากปลาปักเป้า

อาการเริ่มแรกของผู้ที่ถูกกัดหรือกินหมึกบลูริงเข้าไปจะมีอาการคลื่นไส้ ตาพร่าเลือน มองไม่เห็น ประสาทสัมผัสไม่ทำงาน พูดหรือกลืนน้ำลายไม่ได้ จากนั้นจะเป็นอัมพาตและหยุดหายใจเนื่องจากสมองขาดออกซิเจน หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีจะทำให้ตายในที่สุด”

การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อถูกพิษจาก “หมึกบลูริง”

การปฐมพยาบาลต้องหาวิธีนำอากาศเข้าสู่ปอด เช่น เป่าปาก เป็นต้น จากนั้นต้องรีบนำส่งแพทย์โดยด่วน เพื่อใช้เครื่องช่วยหายใจ ถ้าช่วยชีวิตเป็นผล ผู้ป่วยจะฟื้นเป็นปกติภายใน 24 ชั่วโมง เว้นแต่ว่าจะขาดอากาศนานเกินไปจนสมองตาย

พิษของหมึกสายวงน้ำเงินเกิดจากแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในต่อมน้ำลายของมัน (เป็นแบคทีเรียสกุล Bacillus และ Pseudomonas) พิษเตโตรโดท็อกซินและแบคทีเรียยังพบได้ในไข่ของหมึก

สันนิษฐานว่าเป็นกระบวนการส่งถ่ายความสามารถในการสร้างพิษจากแม่หมึกไปยังลูก โดยพบได้ตั้งแต่แรกเกิดเลยด้วยซ้ำ

ในน่านน้ำของประเทศไทยนั้นมีหมึกสายวงน้ำเงินอย่างน้อย 1 สปีชีส์ (จากทั้งหมด 3-4 สปีชีส์) คือ Hapalochlaena maculosa สามารถพบได้ทั้งทางฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย

ด้วยความสวยงามประกอบกับความที่ตัวเล็ก จึงทำให้ หมึกสายวงน้ำเงินเป็นที่นิยมของผู้ที่ชื่นชอบในการเลี้ยงปลาสวยงาม และสัตว์แปลกๆ แต่ทว่าด้วยพิษอันร้ายแรงนี้ จึงทำให้กรมประมงไม่อนุญาตให้นำเข้าหมึกชนิดนี้ในประเทศ แต่ทว่าก็ยังคงมีการลักลอบนำเข้าและเลี้ยงดู ในหน่วยงานราชการก็ยังคงมีการเลี้ยงหมึกสกุลนี้อยู่เพื่อการศึกษา เช่น คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.

อ้างอิง : 1

Thosapol

นักเขียนบทความที่ Thaiger จบการศึกษาจากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เชี่ยวชาญเรื่องบทความท่องเที่ยว บันเทิง ไลฟ์สไตล์ ผ่านการค้นหาข้อมูลโดยละเอียดพร้อมด้วยประสบการณ์ตรงของตัวเอง งานอดิเรกมีความสนใจในกระแสข่าวรอบตัวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ สังคม การเมือง และที่สำคัญคือเป็นทาสแมวร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ ช่องทางติดต่อ thospol@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

Back to top button