ข่าว

‘ดีอีเอส’ เตรียมยื่นศาลปิด ‘เฟซบุ๊ก’ แก้เผ็ดมิจฉาชีพซื้อโฆษณา หลอกลวงประชาชน

‘ดีอีเอส’ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชุมหารือ เตรียมยื่นศาลปิด ‘เฟซบุ๊ก’ หลังมิจฉาชีพใช้สัญลักษณ์หน่วยงานแอบอ้าง โฆษณาล่อลวงประชาชน หวั่นความมั่งคงทางเศรษฐกิจ

วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2566 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม พร้อมยื่นศาล ปิดเฟซบุ๊ก (Facebook) ในไทย เพื่อแก้ไขปัญหาการซื้อโฆษณาผ่านเฟซบุ๊ก ในการหลอกลวงประชาชนให้ร่วมลงทุน โดยแอบอ้างใช้ชื่อบริษัทจดทะเบียน และสัญลักษณ์ของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยไม่ได้รับอนุญาต

Advertisements

โดยรายงานจากเพจเฟซบุ๊ก กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ระบุว่า นายชัยวุฒิ พร้อมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, นายธวัชชัย พิทยโสภณ รักษาการเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

รวมถึง นายชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และพลตำรวจตรี ฐายุฏฐ์ จันทร์ถาวร รองผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พร้อมด้วยภาคเอกชน เข้าร่วมหารือเพื่อหาแนวทางแก้ไขการซื้อโฆษณาผ่าน Facebook

'ดีอีเอส' เตรียมยื่นศาลปิด 'เฟซบุ๊ก' แก้ปัญหาการซื้อโฆษณา หลอกลวงประชาชน
ภาพจาก Facebook : กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

โดยสาเหตุมาจากที่การซื้อโฆษณาผ่านแพลตฟอรืมเฟซบุ๊ก เข้าข่ายหลอกประชาชนให้ร่วมลงทุน โดยแอบอ้างใช้ชื่อบริษัทจดทะเบียน และสัญลักษณ์ของ ก.ล.ต. โดยไม่ได้รับอนุญาต เช่น ก.ล.ต. หรือ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนเทรดทองเริ่มต้น 1,999 บาท พร้อมระบุว่า จะมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลและได้กำไรร้อยละ 15-30 ต่อวัน หรือลงทุนผ่านบริษัท หรือบุคคลผู้มีชื่อเสียงที่มีลักษณะข้อความเชิญชวนลงทุนมีผลกำไรสูงให้ผลตอบแทนในลักษณะเป็นรายสัปดาห์

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขอเรียนให้ทราบว่า ก.ล.ต. ไม่มีเสนอการลงทุนดังกล่าว หากพบเป็นข้อมูลปลอมที่มีการแอบอ้างชื่อ และตราสัญลักษณ์ของ ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงข่าวสารต่าง ๆ ที่เผยแพร่นั้น เป็นข่าวปลอมทั้งสิ้น เพื่อต้องการหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อ ทั้งนี้ หากร่วมลงทุนตามคำแนะนำของเพจต่าง ๆ ไปแล้ว จะไม่ได้รับเงินคืน ทั้งในส่วนของค่าตอบแทนหรือเงินต้น

ปัจจุบัน โจรไซเบอร์ มีกลวิธีต่าง ๆ ให้หลงเชื่อและโอนเงินออกจากบัญชี ด้วยกลวิธีปรับเพิ่มกลไกลใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การเทรดเหรียญดิจิทัล ผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์, ลงทุนเกี่ยวกับเหรียญคริปโต, ลงทุนกับบริษัทปล่อยเงินกู้ผลตอบแทนสูง, ลงทุนหุ้นทอง, ร่วมลงทุนประมูลสินค้าเพื่อรับผลตอบแทนสูง, ลงทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินสกุลต่างประเทศ, และลงทุนหุ้นในเครือบริษัทชื่อดัง

Advertisements

นอกจากนี้ โจรออนไลน์มักปลอมโปรไฟล์เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเรื่องการเงินการลงทุนเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการหลอกลวง และเข้าหาผู้เสียหายผ่านการแฝงตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มสังคมออนไลน์ของผู้ที่สนใจด้านการลงทุน โดยทางกระทรวงฯ ได้มีการส่งหนังสือขอให้ บริษัท meta หรือ Facebook ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เนื่องจากมีการซื้อขายโฆษณาบนแพลต์ฟอร์ม FB และส่งข้อมูลให้ FB ทำการปิดกั้นโฆษณาหลอกลวงไปแล้วกว่า 5301 โฆษณา/เพจปลอม อีกด้วย

'ดีอีเอส' เตรียมยื่นศาลปิด 'เฟซบุ๊ก' แก้ปัญหาการซื้อโฆษณา หลอกลวงประชาชน
ภาพจาก Facebook : กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

นอกจากนี้ นายชัยวุฒิยังกล่าวด้วยว่า “ดีอีเอส อยู่ระหว่างการเรียบเรียงหลักฐานจากผู้กระทำความผิดบนแพลตฟอร์มเฟสบุ๊คเพื่อส่งศาลให้มีการปิดเฟสบุ๊คภายในสิ้นเดือนนี้ และขอให้ศาลสั่งปิดเฟสบุ๊คภาคใน 7 วัน โดยการกระทำผิดของเฟสบุ๊ค เนื่องจากเฟสบุ๊ค ได้รับการโฆษณาจากผู้กระทำความผิดมิจฉาชีพในการลงโฆษณา และหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อในการลงทุนและซื้อสินค้าผ่านเฟสบุ๊ค เมื่อลูกค้าหลงเชื่อและชำระค่าสินค้าแล้วได้สินค้าไม่ตรงปก

ที่ผ่านมามีผู้เสียหายจำนวนมากกว่า 200,000 ราย หรือประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์จาก 300,000 ราย มีมูลค่าความเสียหายมากกว่า 10,000 ล้านบาท ถ้าเฟสบุ๊คไม่ช่วยเหลือประเทศไทย ถ้าเขาอยากทำธุรกิจในประเทศไทย เขาต้องแสดงความรับผิดชอบกับสังคมไทย ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงได้คุยกับเฟสบุ๊คตลอดเวลา แต่กลับไม่สกรีนผู้มาลงโฆษณาทำให้ประชาชนชาวไทยได้รับความเสียหายมากกว่า 100,000 ล้านบาท”

ขอเตือนพี่น้องประชาชนอย่าหลงเชื่อการชักชวนลงทุนทางสื่อสังคมออนไลน์ใดๆ ทั้งสิ้น และขอให้พี่น้องประชาชนตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงจากหน่วยงานที่มีการกล่าวอ้างถึงหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนเผยแพร่และส่งต่อข้อมูลดังกล่าวในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ เพื่อป้องกันการเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตว่าข้อความการเชิญชวนลงทุนเหล่านั้น จะใช่มิจฉาชีพหรือไม่ มีรูปแบบดังนี้

  1. ผลตอบแทนสูงในระยะเวลาสั้น ๆ ส่วนมากมิจฉาชีพมักจะมีการโฆษณาชักชวนโดยอ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนสูงเกินจริง โดยใช้เวลาลงทุนไม่นานและง่ายดาย เป็นอีกรูปแบบที่ทำให้มีผู้หลงเชื่อเป็นจำนวนมากเพราะคาดหวังในผลตอบแทนดังกล่าว เช่น เงินลงทุน 10,000 บาท ระยะเวลา 15 วัน จะได้รับกำไร 50%
  2. การันตีผลตอบแทน โดยกำหนดเป็นตัวเลขที่แน่นอน เช่น 30% ต่อสัปดาห์ หรือการการันตีว่าจะได้รับผลตอบแทนแน่นอน หากลงทุนไม่เป็นก็มีผู้เชี่ยวชาญคอยลงทุนให้
  3. อ้างชื่อบุคคลที่มีชื่อเสียง หรือมีการนำภาพของดารา ศิลปิน หรือนักธุรกิจชื่อดังต่าง ๆ มาแอบอ้างว่าบุคคลเหล่านั้นก็ร่วมลงทุนด้วยเช่นกัน เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการลงทุน
  4. ไม่สามารถตรวจสอบธุรกิจได้ หากมีการชักชวนให้ร่วมลงทุนแต่ไม่มีสินค้า ไม่มีแผนธุรกิจ หรืออ้างว่าแพลตฟอร์มอยู่ต่างประเทศ ทำให้ตรวจสอบข้อมูลการเงินไม่ได้ ก็เข้าข่ายว่าอาจจะเป็นมิจฉาชีพได้
  5. ให้รีบตัดสินใจลงทุน โดยมักจะเสนอสิทธิพิเศษเฉพาะช่วงเวลาเหล่านั้นให้ เช่น หากไม่ลงทุนตอนนี้จะพลาดโอกาสที่ได้ผลตอบแทนดี ๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เรารีบตัดสินใจลงทุน
'ดีอีเอส' เตรียมยื่นศาลปิด 'เฟซบุ๊ก' แก้ปัญหาการซื้อโฆษณา หลอกลวงประชาชน
ภาพจาก Facebook : กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

ทั้งนี้ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 15 ผู้ให้บริการผู้ใดให้ความร่วมมือ ยินยอม หรือรู้เห็นเป็นใจให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา 14 ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดตามมาตรา 14 ส่วนความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

และ พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ที่มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2566 เพื่อช่วยดูแลคุ้มครองผู้ถูกหลอกลวง ช่วยระงับยับยั้งการโอนเงินและติดตามเงินคืนได้ทันมากขึ้น โดยเจ้าของบัญชีม้าหรือเบอร์ม้า จะมีโทษทางอาญาหนัก จำคุก 3 ปี หรือ ปรับ 3 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงผู้ที่ได้เป็นธุระจัดหา โฆษณา ขาย ให้เช่า หรือให้ยืม บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หมายเลขโทรศัพท์ก็มีโทษอาญาหนักเช่นกัน คือ จำคุกตั้งแต่ 2-5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2-5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สำหรับ สถิติคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ก่อน พ.ร.ก.ปราบอาชญากรรมไซเบอร์ ( 1 ม.ค.- 16 มี.ค. 66) เฉลี่ย 790 เรื่องต่อวัน ส่วนหลังมี พ.ร.ก. (17 มี.ค.- 31 ก.ค.66) เกิดรวม 80,405 คดี เฉลี่ย 591 คดีต่อวัน สถิติการเกิดคดีลดลงเฉลี่ย 199 คดี/วัน ขณะที่สถิติการอายัดบัญชี ก่อนมี พ.ร.ก. ( 1 ม.ค.- 16 มี.ค.) มีการขออายัด1,346 ล้านบาท อายัดทัน 87 ล้านบาท คิดเป็น 6.5 % ส่วนหลังมี พ.ร.ก. (17 มี.ค.- 31 ก.ค.66) มีการขออายัด 2,792 ล้านบาท อายัดทัน 297 ล้านบาท คิดเป็น 10.6 %

'ดีอีเอส' เตรียมยื่นศาลปิด 'เฟซบุ๊ก' แก้ปัญหาการซื้อโฆษณา หลอกลวงประชาชน
ภาพจาก Facebook : กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

ด้านการจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับบัญชีม้าและซิมม้า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ดำเนินคดีผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับบัญชีม้าและซิมม้า รวม 364 ราย ดังนี้ บัญชีม้า รวม 254 ราย, ซิมม้า รวม 43 ราย, ซื้อขายบัญชีม้า รวม 14 ราย ,ซื้อขายเลขหมายโทรศัพท์ รวม 53 ราย

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถตรวจสอบรายชื่อบุคคลที่แนะนำการลงทุน ผู้ประกอบธุรกิจ หรือหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ได้ที่แอปพลิเคชัน SEC Check First และเว็บไซต์ ก.ล.ต. หัวข้อ SEC Check First หรือหากมีข้อสอบถามหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับพฤติกรรมที่น่าสงสัย หรือได้รับการแจ้งข้อมูลที่ผิดปกติ ผ่าน SMS หรือทางโทรศัพท์ สามารถแจ้งได้ที่ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ไลน์ @antifakenewscenter, เว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com หรือทวิตเตอร์ @AFNCThailand และโทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 ตลอด 24 ชั่วโมง

ซึ่งทางด้าน กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวจะเร่งดำเนินกับทางบริษัท meta ผู้ดูแลแพลตฟอร์ม Facebook เนื่องจาก มีผู้กระทำผิดเกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อ ทั้งนี้ ประชาชนโปรดระมัดระวังข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือในสื่อออนไลน์ หรือแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัยของทรัพย์สิน หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อหน่วยงานได้ตามช่องทางที่ระบุไว้ได้เลยค่ะ

Kamonlak

นักเขียนข่าวประจำ Thaiger ผู้มีความสนใจที่หลากหลาย มีประสบการณ์เชี่ยวชาญเขียนข่าวการเงิน เศรษฐกิจ จบการศึกษาจากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ งานอดิเรก ติดตามข่าวสารความบันเทิง โดยเฉพาะภาพยนตร์และแอนิเมชัน เขียนงานโดยมีแนวคิดที่ต้องการถ่ายทอดมุมมองของตัวเองและถ่ายทอดสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม ช่องทางติดต่อ kamonlak@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

Back to top button