‘จตุพร’ ฟังธง ‘เศรษฐา’ ไม่มีทางได้เป็นนายก แม้ ‘เพื่อไทย’ มั่นใจว่าได้เสียง สว. เกิน
จตุพร มั่นใจ เศรษฐา ทวีสิน ไม่มีทางขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี แม้เพื่อจะมั่นใจว่าได้เสียงในสภาเพียงพอ เทียบเพื่อไทยรัฐบาลเหมือนคนแก่ลงโลง
นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “ตามกรรม!!” ตอนประจำวันที่ 16 สิงหาคม โดยช่วงหนึ่งได้มีการพูดถึงความเป็นไปได้ในการขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกพรรคเพื่อไทย ก่อนการโหวตเลือกนายกในวันที่ 22 ส.ค. โดยนายจตุพรคาดเดาว่านายเศรษฐาจะไม่ได้ขึ้นมาเป็นนายก
นายจตุพรระบุว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปรียบการตั้งรัฐบาลของเพื่อไทยว่า มีความเจ็บปวดเหมือนทารกแรกเกิดจากครรภ์มารดา แต่ความจริงแล้วควรอธิบายว่า เจ็บปวดเหมือนคนแก่กำลังเข้าโลงมากกว่า เพราะทารกแรกเกิดจะมีชีวิตใหม่ และตรงกันข้ามกับความหายนะที่ได้อำนาจด้วยการตระบัดสัตย์ กลับกลอกต่อผู้สนับสนุนมากมาย ดังนั้น อย่ามาทำอวดดีเป็นคนเสียสละ
อีกอย่าง ระบุว่า ในบรรดา 8 พรรค MOU จับมือตั้งรัฐบาลที่ผ่านมานั้น เพื่อไทยต่อต้านพรรคภูมิใจไทยไม่ให้เข้าร่วมรัฐบาลเด็ดขาด หลังจากฉีก MOU แล้ว ภูมิใจไทยเป็นพรรคแรกที่เพื่อไทยเชิญมาเจรจาเข้าร่วมรัฐบาลด้วย จึงเป็นวิธีการที่บัดซบและน่าละอายกับความไม่ซื่อตรงต่อมิตรอย่างยิ่ง
นายเศรษฐา ต้องพิสูจน์ข้อกล่าวหาที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นำมาเปิดโปง โดยใช้ข้อเท็จจริงมาเปิดเผยเป็นข้อๆ อย่าชี้แจงเหมารวม เพราะถ้ายังเก็บเงียบแล้วเมื่อเข้าสู่การอภิปรายในสภาจะถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นถึง คุณสมบัติความซื่อสัตย์ สุจริต จริยธรรมนักการเมือง รวมทั้งคำประกาศจะแก้ ม.112 เมื่อช่วงหาเสียงเลือกตั้ง สว. ก็คงไม่ละเว้น
ส่วนนายเศรษฐา ในฐานะผู้บริหารสูงสุดไม่รู้รายละเอียดการตั้งบริษัทนอมินีมากู้เงินหรือไม่นั้น นายจตุพร กล่าวว่า เงินกู้ 1,000 ล้านบาท ออกจากบริษัทต้องตรวจสอบปูมหลังของบริษัทที่ยื่นขอกู้ด้วย แต่ที่สำคัญกว่านั้น ผู้ขอกู้มีอาชีพแม่บ้านและยามรักษาความปลอดภัย กลับไม่รู้เรื่องเลย จึงสะท้อนถึงการนำชื่อมาสวมรอยจดทะเบียนตั้งบริษัท จากนั้นก็อ้อมไปซื้อหุ้น ดังนั้น นายเศรษฐา จะบอกว่า ไม่รู้คงไม่ได้เสียแล้ว
“สิ่งที่นายเศรษฐา ต้องชี้แจงคือ หลักในการปล่อยเงินกู้จากบริษัทแม่ให้บริษัทลูก และมาบริษัทนอมินี แล้วย้อนวนมาซื้อ (ที่ดิน) กลับอีกทอดหนึ่ง จึงเกิดสงสัยว่า ทำไมบริษัทแม่จึงไม่ซื้อตรง และทำไมต้องใช้บริษัทจดทะเบียนที่เจ้าตัวคนกู้เงินไม่รู้เรื่องด้วย ไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งนายเศรษฐา จึงจำเป็นต้องชี้แจงเรียงข้อให้ชัดเจนก่อนถึงวันโหวตนายกฯ 22 ส.ค. นี้”
นอกจากนี้ ในการโหวตนายกฯ วันที่ 22 ส.ค. นี้ นายจตุพร มั่นใจว่า นายเศรษฐา จะไม่ได้เสียงสนับสนุนถึง 375 เสียง คือเกินครึ่งของรัฐสภา แม้เพื่อไทยมั่นใจได้เสียงสนับสนุนเกินแล้ว แต่ตนยืนยันว่า นายเศรษฐา จะไม่ได้เป็นนายกฯ อย่างแน่นอน