ผู้ประกาศคนดัง “ต๊ะ นารากร ติยายน” โพสต์แชร์ประสบการณ์ผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว แนะนำ “จูน เพ็ญชุลี หนูแก้ว” เมียหนุ่มกะลา หย่ากันเถอะ อย่าให้ค่าผู้ชายที่หมดรัก เพราะชีวิตเป็นของเราเลือกเองได้ ชีวิตสีสันฉูดฉาดไม่จีรังยั่งยืน
เมื่อหมดรักอย่างสมัครใจ สังคมและชาวโซเชียลก็พร้อมกันสอนสั่ง! เผยความคืบหน้าล่าสุด วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2566 “ต๊ะ นารากร ติยายน” พิธีกร ผู้ประกาศ และผู้ดำเนินรายการดัง ได้โพสต์ผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัวแชร์ประสบการณ์คบคนเจ้าชู้แก่ “จูน เพ็ญชุลี หนูแก้ว” เมียหนุ่มกะลา พร้อมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ตื่นเต้นเร้าใจมีสีสันแต่ไม่ยืนยง โดยระบุข้อความบนเฟสบุ๊กว่า
“จดๆจ้องๆ จะเขียนเรื่อง นักร้องเสียงนุ่มพาเมียน้อยไปซ้ำรอยเมียหลวงมาหลายวัน แต่ก็รำคาญข่าวผัว ๆ เมีย ๆ เลื่อนผ่านไปขี้เกียจอ่าน
“มาวันนี้ชัดละ คือ หนุ่ม กะลา กับ จูน ภรรยาที่อยู่ด้วยกันมา 21 ปี แต่งงานมา 7 ปี พยายามมีลูกมาหลายครั้ง เสียเงินไปหลายล้าน จนได้ลูกคนแรกเมื่อปี 2563”
“หนุ่ม กะลา ไลฟ์ขอโทษ บอกว่าแยกกันอยู่กับภรรยามา 2 ปีแล้ว พูดเรื่องหย่ากันมาหลายรอบ จะทำให้จบภายในเดือนนี้
แล้วก็มีคนไปขุดเรื่องของผู้หญิงอีกคนมาแฉ ว่าเธอก็มีครอบครัวอยู่ มีสามีและลูกชาย ประเด็นเปลี่ยน กลายเป็นผัวน้อยกับเมียหลวงของคนอื่น”
“ในโซเชียลความเห็นเป็นเอกฉันท์ ด่าหนุ่ม เห็นใจจูน ไม่อยากให้เลิกกัน สงสารเพราะลูกยังเล็ก ความเห็นเรานะ หย่ากันเถอะ เอาให้มันจบๆไป เมื่อใจคนเปลี่ยน ไปรักคนใหม่ จะอยู่กันต่อไปทำไม”
“ที่นี้มาเรื่องของเราเองบ้าง นี่คือเหตุผลที่เราปฏิเสธการแต่งงาน เราไม่เชื่อว่าคน 2 คนจะอยู่ด้วยกันด้วยไปตลอดชีวิตโดยไม่เปลี่ยนแปลง”
“เราเคยคบกับผู้ชายเจ้าชู้หลายคน คนประเภทนี้มีเสน่ห์ ทำให้ชีวิตคู่มีสีสัน และเมื่อถูกจับได้ว่าแอบมีคนอื่น เค้ามีความชำนาญทำให้เราใจอ่อน และยอมยกโทษให้”
“ถ้าเราไม่ปิดหูปิดตาตัวเอง หลงเชื่อคารมของเค้า ว่าหยุดแล้ว จะไม่เจ้าชู้อีกแล้ว เราก็จะตกอยู่ในสภาพเมียหลวงสักวันหนึ่ง
เรื่องแบบนี้ไม่มีใครถูกผิด เมื่อฝ่ายหนึ่งหมดรัก อีกฝ่ายจะทนอยู่ไปทำไม ชีวิตเป็นของเรา เลือกเอง จบ.”
ชาวเน็ตแห่ปรบมือในความเก๋ามากประสบการณ์ของ “ต๊ะ นารากร ติยายน” ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา และเตือนถึงผู้ที่คิดนอกใจคนรัก โดยที่ตนเองยังไม่ได้เลิกรากันอย่างสมบูรณ์ ว่าผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น ก็มิอาจหาความซื่อสัตย์จากไหนได้อีกในชีวิต เว้นแต่เขาเหล่านั้นจะรู้สำนึกในความผิดพลาดของตัวเอง
เป็นที่น่าสังเกตว่าประเทศไทยนั้นถูกปลูกฝั่งมาตั้งแต่อดีตว่าเป็นเมืองพุทธ เมืองแห่งศีลธรรมดันดีย์งาม แต่ก็มักปรากฎข่าวหรือเรื่องราวที่สวนทางกับศีลธรรมที่ยกยอปอปั้นเอาไว้กันอย่างเอิกเกริก ต่างกับบางประเทศที่ไม่ได้ต้องอวดสรรพคุณว่าตนเป็นเมื่องนั้นเมืองนี้ แต่ธรรมรงไว้ซึ่งจริยธรรมพื้นฐานอันเป็นสากลโลก หรือปฏิบัติตามความเชื่อ หลักศรัทธา ส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด และสามารถประกอบคุณงามความดีได้ตามที่ควรจะเป็นนั่นเอง.
อ้างอิง : Facebook นารากร ติยายน