หลังจากผ่านไป 10 วันบนจอภาพยนต์ มหากาพย์ทุนสร้างของดิสนีย์ และศตวรรษที่ 20 เรื่อง “Avatar: The Way of Water” กลายเป็นหนังที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 5 ของปีด้วยยอดขายทั่วโลก 855 ล้านดอลลาร์
จนถึงตอนนี้ ภาคต่อที่ล่าช้ามานานของ เจมส์ คาเมรอน อย่าง Avatar: The Way of Water ทำรายได้ในบ็อกซ์ออฟฟิศในประเทศไปแล้ว 253.7 ล้านเหรียญ (8,800 ล้านบาท) และต่างประเทศ 600 ล้านเหรียญ (20,000 ล้านบาท) แม้ว่าสภาพอากาศในฤดูหนาวจะเลวร้ายในอเมริกาเหนือและจำนวนผู้ป่วยโควิด, RSV และไข้หวัดใหญ่ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกก็ตาม
ภาคต่อของ Avatar คาดว่าจะทำรายได้อย่างต่อเนื่องในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ภายในสิ้นปีนี้ สตูติโอที่ใช้งบประมาณกว่า 350 ล้านดอลลาร์ ตั้งเป้าหมายที่จะแตะ 1 พันล้านดอลลาร์ ตามเกณฑ์มาตรฐานที่มีเพียงหนังอีกสองเรื่องอย่าง Top Gun: Maverick และ Jurassic World Dominion เท่านั้นที่เข้าฉายในปี 2022
นอกอเมริกาเหนือ Avatar 2r: The Way of Water มียอดขายสูงสุดในจีนด้วยรายได้ 100.5 ล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยเกาหลี 53 ล้านดอลลาร์ ฝรั่งเศส 52.3 ล้านดอลลาร์ อินเดีย 37 ล้านดอลลาร์ และเยอรมนี 35.7 ล้านดอลลาร์
ด้วยเหตุผลหลายประการที่ภาพยนตร์ภาคต่อจะต้องไปเพื่อให้ถึงจุดสูงสุดของภาคก่อน ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ด้วยรายได้ 2.97 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลก
ประการแรก รายได้จากบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากโรคระบาด และตลาดสำคัญอย่างจีนก็กำลังประสบกับการระบาดอีกครั้งของไวรัส ยิ่งกว่านั้นภาคต่อที่จะไม่เข้าฉายในรัสเซีย ทั้งที่ภาคแรกทำรายได้ในรัสเซียไปที่ 116 ล้านเหรียญ (4 พันล้านบาท)
Imax มีส่วนสำคัญในการขายตั๋วทั่วโลก โดย 97 ล้านดอลลาร์ (3.3 พันล้านบาท) จากจอระดับพรีเมียมของบริษัท เช่นเดียวกับราคาตั๋ว Imax และ 3D ที่มีราคาแพงกว่าโรงหนังปกติ คาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้โดยรวมสำหรับ Avatar 2
ขอบคุณข้อมูล – 1
