รีวิว Black Adam ภาพยนตร์แอนตรี้ฮีโร่ตัวใหม่จากค่ายหนัง DC แรงเดือดไม่มีพัก บทแอคชั่นมันส์สะใจ
ผงาดกลับมาอีกครั้งสำหรับค่ายหนังดังอย่าง DC Comics ที่ล่าสุดปล่อยแอนตี้ฮีโร่ตัวใหม่อย่าง Black Adam มาเรียกขวัญผู้ชมกันไปเป็นที่เรียบร้อย บอกเลยว่าฉากแอคชั่นมันส์จุใจ ทำผู้ชมตื่นตากันทั้งโรง แม้จะดำเนินเรื่องเรื่องออกแนวประหลาดไปสักหน่อย แต่ก็ได้ความหล่อเข้มและทุ่มเทของ “เดอะร็อค” (The Rock – Dwayne Johnson) มายกระดับหนังเอาไว้
สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Black Adam ก็ได้ผู้กำกับมือดีอย่าง “ฆัวเม คอลเล็ต เซรา” (Jaume Collet-Serra) ที่เคยลงสนามกำกับหนังดังอย่าง Orphan (2009) และ Jungle Cruise (2021) มานั่งแท่นผู้กำกับในครั้งนี้ด้วย ทำเอาแฟนคลับหนังจักรวาล DC ถึงกับเนื้อเต้นนั่งไม่ติดที่กันเลยทีเดียว
| เรื่องย่อ Black Adam
สำหรับแอนตี้ฮีโร่อย่าง Black Adam ของจักรวาล DC นั้นเป็นตัวละครที่ได้รับพลังจากเทพเจ้ามานานกว่า 5,000 ปี แต่กลับถูกขังไว้ ณ สุสานแห่งหนึ่ง แต่เมื่อแบล็กอดัมได้รับการปลดปล่อย เขาก็พร้อมที่จะระเบิดพลังเพื่อความยุติธรรมอย่างเต็มที่
ตามต้นฉบับคอมิกส์แล้วนั้น แบล็กอดัมคืออดีตเจ้าชายอียิปต์ที่ได้รับพลังจากพ่อมดชาแซม (Shazam) แต่พละกำลังที่มากมายมหาศาล ทำให้แบล็กอดัมเกิดความโลภต้องการยึดครองโลก จึงถูกเนรเทศออกจากโลกไป และใช้เวลาเดินทางกลับมายังโลกในอีก 5,000 ปี
แต่เมื่อกลับมาโลกได้ แบล็กอดัมก็ถูกกำจัดโดย 3 แชมเปียนส์ ที่พ่อมดชาแซมแต่งตั้งมาให้พิทักษ์โลก โดยแชมเปียนส์ทั้ง 3 คนนั้น ใช้วิธีการหลอกล่อแบล็กอดัมให้พูดคำว่า “ชาแซม!” เพื่อกลับคืนร่างเดิม
หลังจากที่แบล็กอดัมตกหลุมพรางพูดคำต้องห้ามออกไป เขาก็กลับคืนสู่ร่างมนุษย์ ในคราบเจ้าชายอียิปต์อายุ 5,000 ปี และนี่เองก็คือจุดจบของแอนตี้ฮีโร่แบล็กอดัมตามต้นฉบับคอมิกส์เดิม
| ความรู้สึกหลังดู Black Adam
ขอออกตัวอวยด้วยความชื่นชอบส่วนบุคคลก่อนเลยว่า “เดอะร็อคเท่มาก!” บทบาทที่เข้มข้นและดุดันแบบนี้จากภาพยนตร์ที่เดอะร็อคแสดงนำ มักจะมีให้เราได้เห็นกันไม่บ่อยนัก (ส่วนใหญ่ออกแนวตลกมากกว่า) แต่เรื่องนี้กลับขึงขังได้คงเส้นคงวา
สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Black Adam นั้นได้รับคะแนนจากนักวิจารณ์ไปแบบเละเทะไม่เหลือซาก ด้วยเส้นเรื่องที่นอกจากจะสั้นมากแล้วก็ยังวนอยู่ในขัน กับคาแรกเตอร์ของเดอะร็อคที่ “ครอบงำ” บทบาทของแบล็กอดัมจนมิดชิด ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าจริงทั้งหมด
แม้ฉากแอคชั่นบู๊ล้างผลาญจะถูกใส่มาจนเต็มเรื่อง แถมยังทำออกมาได้ดีไม่มีที่ติ แต่ด้วยการดำเนินเรื่องที่เข้าขั้น “ห่วยแตก” ก็บอกได้เลยว่าทุกอย่างในหนังเหมือนเป็นการยัดเยียดฉากฮีโร่สู้กันใส่คนดูเสียมากกว่า
อีกทั้งความอีหลักอีเหลื่อในการถ่ายทอดตัวละครเข้าไปในใจผู้ชมก็สุดจะบ้ง ไม่มีที่มาที่ไป นึกจะโผล่มาร่วมทีมก็โผล่ ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าตัวละครเหล่านั้นไม่มีความสำคัญเลยแม้แต่นิดเดียว (จะตายก็ไม่เสียดาย) พร้อมด้วยมุกตลกที่ฝืดลิ้นฝืดคอทำเอาแทบไม่อยากจะกระตุกยื้มด้วยซ้ำ ยิ่งทำให้หนังมีแต่ความอิหยังวะเต็มไปหมด
และทางผู้รีวิวเองก็คงต้องให้คะแนนไปตามเนื้อผ้าเพียง 6/10 เท่านั้น เพราะไม่มีองค์ประกอบใดในเรื่องน่าประทับใจเท่าเพลงประกอบ และที่สำคัญที่สุดคือฉาก End Credit ที่โผล่มาไม่ถึง 5 นาที แต่กลับสนุกและดูมีอะไรมากกว่าหนังเต็มทั้งเรื่องเสียอีก
อย่างไรก็ตาม คงต้องให้ผู้ชมไปพิสูจน์ความสนุกในโรงภาพยนตร์กันด้วยตาตัวเอง เพราะรีวิวฉบับนี้เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น
- รีวิว The Watcher ผู้เฝ้าดู (2022) : หมู่บ้านหรู เพื่อนบ้านหลอน.
- รีวิว Mr. Harrigan’s Phone โทรศัพท์คนตาย (2022) : มิตรภาพไม่มีวันตาย.
- รีวิว Cyberpunk: Edgerunners สีสันแสบตา ทำดีเกินหน้าเกมไซเบอร์พังก์ต้นฉบับ.
สนใจลงโฆษณา บทความ Backlink กับ Thaiger ติดต่อคุณโอ๋ orakarn@thethaiger.com