ประวัติ “สีจิ้นผิง” เส้นทางการครองอำนาจจีนของผู้นำสูงสุดสมัยที่สาม
ประวัติ สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน ผู้นำสูงสุดที่ใช้อำนาจจำกัดประชาชนต่อจากเหมา เจ๋อตง พร้อมเผยเส้นทางการครองอำนาจจีนจนถึงปัจจุบัน
พาส่อง ประวัติ สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีของสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือผู้ถูกเรียกว่า ผู้นำสูงสุดของจีน หลายคนคงเคยได้ยินชื่อของสีจิ้นผิงกันมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในโลกโซเชียล จากมุกตลกล้อเลียน หรือในข่าวการเมืองของไทยก็ตามที แต่น้อยคนที่จะทราบประวัติอันแท้จริงของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงกัน วันนี้ทีมงานเดอะไทยเกอร์จึงขออาสาพาไปชมประวัติของสีจิ้นผิงว่ามีการศึกษา และแนวทางการปกครองอย่างไร พร้อมเผยเส้นทางการครองอำนาจในจีนของสีจิ้นผิงให้ทุกท่านได้รู้จักกันมากยิ่งขึ้น
ประวัติ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน
สี จิ้นผิง (Xi Jingping) เกิดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2496 มีอายุ 69 ปี โดยสี จิ้นผิง เป็นบุตรของ สี จงชุน อดีตรองนายกรัฐมนตรีของจีน คนสนิทใกล้ชิดกับประธานเหมา เจ๋อตง
ปัจจุบัน สีจิ้นผิง ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้ตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน บางทีผู้คนทั่วโลกก็กล่าวขานเรียกเขาว่าเป็นผู้นำสูงสุดของจีนด้วยเช่นกัน
เมื่อปี 2530 สีจิ้นผิงได้แต่งงานกับ เผิง ลี่หยวน นักร้องเพลงพื้นบ้าน ต่อมาเมื่อสีจิ้นผิงได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำสูงสุดของจีน ภรรยาของเขาก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นทูตเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศในฐานะของสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งจากจีน ทั้งคู่มีลูกสาวด้วยคนหนึ่งชื่อ สี หมิงเจ๋อ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ประวัติการศึกษาของ สีจิ้นผิง
สำหรับประวัติการศึกษาของสีจิ้นผิงต้องบอกได้เลยว่า ชายคนนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ เพราะเขาเป็นหนึ่งใน 29,000 ปัญญาชนที่ถูกต้อนให้เข้ารับการศึกษาในการเรียนรู้เกี่ยวกับการทำไร่นาและปศุสัตว์ จนกระทั่งเขาได้กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์
หลังจากที่ประวัติอันด่างพร้อยของครอบครัวสีจิ้นผิงได้รับการฟื้นฟูจากการอสัญกรรมของเหมา เจ๋อตง ทำให้สีจิ้นผิงกลับมาศึกษาต่อในระบบจนสำเร็จการศึกษาด้านวิชาเคมีจากมหาวิทยาลัยชิงหวา หนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีนที่มีความมั่งคั่งทางการเงินมากที่สุด
สีจิ้นผิงกับเส้นทางการครองอำนาจจีน
จุดเริ่มต้นเส้นทางการครองอำนาจจีนของสีจิ้นผิง เกิดขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2515 ในวันที่สีจิ้นผิงและพ่อได้รับการกอบกู้ชื่อเสียงที่ประธานเหมา เจ๋อตงได้ทำลายทิ้งไป ทำให้สีจิ้นผิงได้รับเข้าทำงานในฐานะสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ที่มณฑลเหอเป่ย์
ต่อมาสี จิ้นผิงได้เป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มแนวคิดการพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับไต้หวัน จนได้แต่งตั้งให้เป็นรักษาการเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ สาขาเซี่ยงไฮ้ สีจิ้นผิงได้พัฒนาความสัมพันธ์กับเจียง เจ๋อมิน แกนนำกลุ่มรุ่นที่ 3 ของจีน
จนกระทั่งสีจิ้นผิงขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นคนแรกหลังจากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สอง รวมถึงประธานคณะกรรมธิการทหารส่วนกลางแห่งพรรคคอมมิวนิสต์อีกด้วย
หลังจากที่สีจิ้นผิงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ เขาก็เถลิงอำนาจด้วยการสั่งปรับนโยบายและอุดมการณ์ของประเทศจีน ซึ่งนโยบายที่สำคัญของเขา ได้แก่
- เอกราชอินเทอร์เน็ต เป็นการจำกัดความคิดเห็น และอุดมการณ์ของประชาชนด้วยการตรวจสอบอินเทอร์เน็ตในประเทศจีนให้มีรูปแบบเป็นไปตามมโนทัศน์ของสีจิ้นผิง
- ฝันจีน เป็นคำขวัญที่สื่อถึงความเป็นชาตินิยมจีน ซึ่งส่งเสริมให้บุคคลากรในประเทศมีความเป็นปัจเจกบุคคลมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้สีจิ้นผิงก็ยังมีนโยบายเกี่ยวกับการเมืองหลายอย่างที่ส่งผลกระทบถึงปัจจุบัน อย่างความสัมพันธ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่น การอ้างสิทธิ์ของจีนในทะเลจีนใต้ ภาวะการเป็นผู้นำในการค้าเสรีและโลกาภิวัตน์ รวมถึงการขยายอิทธิพลในประเทศแถบยูเรซียผ่านการริเริ่มหนึ่งเข็มขัดหนึ่งเส้นทาง ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์การบริหารประเทศที่สีจิ้นผิงได้วางกำหนดไว้
ข้อริเริ่มเข็มขัดและเส้นทาง หรือหนึ่งเข็มขัด หนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative) เป็นยุธศาสตร์การบริหารประเทศจากรัฐบาลจีนที่เริ่มใช้ในปี 2556 มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาและลงทุนให้แก่โครงสร้างพื้นฐานทั้งในประเทศจีน และองค์การระหว่างประเทศทั่วโลกเกือบ 70 แห่ง นับว่าเป็นนโยบายชิ้นสำคัญของสี จิ้นผิงเลยทีเดียว
ทั้งนี้ สีจิ้นผิง เป็นศูนย์กลางของผู้นำจีนรุ่นที่ 5 ซึ่งมีทั้งหมด 5 รุ่นแล้วในสาธารณะรัฐประชาชนจีน ซึ่งเขาสามารถรวบอำนาจจากสถาบันต่าง ๆ ให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ ทำให้ความคิดเห็นทางการเมืองของสีจิ้นผิงถือว่าเป็นกฎหรือนโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์ด้วยเช่นกัน
สุดท้ายนี้สีจิ้นผิงยังมีการสร้างลัทธิบูชาบุคคลรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมหนังสือ การ์ตูน และเพลง ก็ถูกจำกัดให้มีสีจิ้นผิงเป็นศูนย์กลางทั้งสิ้น เรียกได้ว่าสีจิ้นผิงเป็นผู้นำแบบคอมมิวนิสต์อย่างชัดเจน สมกับที่ถูกเรียกว่าผู้นำสูงสุดเลยทีเดียว.
อ้างอิง : 1