สรุปดราม่า ‘พรีมายา’ เจ้าของถูกตั้งรางวัลนำจับ ล่าสุดเข้าพบตำรวจแล้ว
สรุปดราม่า #พรีมายา แบรนด์อาหารเสริมลดน้ำหนัก ลงทุนหลักพัน กำไรหลักล้านใน 3 เดือน หลังตัวแทนโป๊ะแตกไม่ได้ซื้อรถหรูจริงตามอ้าง สู่มหากาพย์บริษัทรวยจริงหรือรวยปลอม
กลายเป็นมหากาพย์ไปแล้วสำหรับดราม่า พรีมายา (PRIMAYA) แบรนด์บริษัทผลิตภัณฑ์อาหารเสริมลดน้ำหนัก ที่ล่าสุดทางทนายอัจฉริยะก็ได้เข้าแจ้งความเอาผิดต่อแบรนด์พรีมายา ข้อหาโฆษณาเกินจริงไปเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา
แม้ในวันที่ 19 สิงหาคม 2565 ทางแบรนด์พรีมายาจะได้ออกมาโพสต์ประกาศชี้แจงต่อกรณีดราม่าดังกล่าว ผ่านทางเฟซบุ๊กเพจ
สรุปดราม่า พรีมายา สินค้าลดน้ำหนักไม่ได้จริง เน้นขายฝันให้ลูกทีม
จุดเริ่มต้นของดราม่าแบรนด์พรีมายา มาจากการที่ชาวเน็ตแห่ติดแฮชแท็ก #พรีมายา กันจนติดเทรนด์ในโลกทวิตเตอร์เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยสาเหตุที่ชาวเน็ตร่วมใจกันพูดถึงแบรนด์พรีมายานั้น เนื่องมาจากโพสต์หนึ่งในเฟซบุ๊กของ CEO แบรนด์พรีมายาที่เข้าข่ายโฆษณาเกินจริง
ในเนื้อหาของโพสต์ที่เป็นประเด็นนั้นกล่าวว่า ตัวแทนจำหน่ายคนดังกล่าวนั้นประสบความสำเร็จได้ด้วยเงินลงทุนเพียง 6,000 บาท โดยพื้นเพของตัวแทนจำหน่ายคนนี้นั้นเป็นคนต่างจังหวัดและได้นำเงินลงทุนก้อนสุดท้ายมาลงทุนขายของออนไลน์ก็ทางแบรนด์พรีมายา พร้อมทั้งกล่าวว่าใช้ระยะเวลาลงทุนเพียงแค่ 3 เดือน ก็สามารถสร้างเงิน 15 ล้านบาทได้แล้ว
นอกจากเนื้อหาของโพสต์ดังกล่าวที่ดูโฆษณาเกินจริง ภาพประกอบในโพสต์ที่เป็นหญิงสาวรูปร่างท้วมยืนข้างรถหรู ยิ่งเป็นการสร้างความเข้าใจให้ชาวเน็ตเชื่อว่าตัวแทนจำหน่ายคนนี้สามารถพลิกชีวิตได้ด้วยเงินลงทุนเพียงแค่ 6,000 บาทจริง ๆ
ดราม่าพรีมายากับรถหรูที่ตัวแทนไม่ได้ซื้อจริง
ทั้งนี้ก็ได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งอินบ็อกซ์สอบถามไปยังเพจโชว์รูมรถที่ปรากฏอยู่ในภาพ ว่าได้มีการซื้อขายรถคันดังกล่าวจริงหรือไม่ โดยทางเพจโชว์รูมรถก็ได้กลับมาว่ายังไม่มีการซื้อขายรถที่ปรากฏในภาพแต่อย่างใด และนี่เองคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชาวเน็ตหลายคนเริ่มมองว่าพรีมายาเป็นแบรนด์ที่หลอกลวงผู้บริโภค
ทำให้เกิดกระแสติดแฮชแท็ก #พรีมายา ขึ้นในโลกออนไลน์ ซึ่งชาวเน็ตหลายคนก็ได้ตั้งข้อสงสัยว่าพรีมายาเป็นแบรนด์ขายสินค้าลดน้ำหนัก แต่ทางตัวแทนจำหน่ายกลับไม่ได้มีรูปร่างผอมสวย พร้อมกันนี้ก็ได้มีการเปิดเผยรายได้และกำไรของทางพรีมายาว่าตรงตามที่กล่าวอ้าง 15 ล้านบาทจริงหรือไม่
กำไรจากการขายพรีมายา ของจริงหรือแค่จกตา
ทางเพจเฟซบุ๊ก ก๊อต ออฟ วอร์ V.2 ก็ได้ออกมาเปิดเผยงบกำไรขาดทุนของทาง บริษัท พรีม่า มายา จำกัด ซึ่งระบุว่าในปี พ.ศ. 2564 ทางบริษัทพรีมายามีรายได้ทั้งหมด 33 ล้านบาท และกำไรอีก 8 ล้านบาท แต่ในปี พ.ศ. 2565 กลับมีการโพสต์ข้อความว่าขายได้กำไร 15 ล้านบาท จึงทำให้เกิดความสงสัยขึ้นว่ากำไรจากขายสินค้า 15 ล้านบาท ที่มาจากตัวแทนเพียงแค่คนเดียวนั้นอาจไม่เป็นความจริง
พอประกอบรวมเข้ากับเรื่องรถหรูที่ไม่ได้ถูกซื้อ ยิ่งทำให้ชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาเปิดโปงความจริงเกี่ยวกับแบรนด์พรีมายามากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการแฉธุรกิจเครือข่าย (MLM) ที่ผู้บริหารมักจะมีไลฟ์สไตล์อวดรวย เน้นขายฝันมากกว่าขายสินค้า ทำให้ลูกทีมหรือตัวแทนจำหน่ายนำเงินไปลงทุนกับสินค้าจนหมดตัว แต่กลับไม่ได้ผลกำไรจริง
สินค้าพรีมายากินแล้วไม่ได้ลดน้ำหนักจริง
หลังจากที่มีการเปิดเผยงบกำไรขาดทุนของทางพรีมายาไปแล้วนั้น ก็ยังมีชาวเน็ตอีกจำนวนมากที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นว่าสินค้าของทางแบรนด์พรีมายาไม่ได้ช่วยลดน้ำหนักได้จริง อีกทั้งยังมีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ บางคนเมื่อเลิกรับประทานอาหารเสริมของทางแบรนด์แล้วก็เกิดอาการโยโย่เอฟเฟกต์
ผสมรวมกับตัวแทนจำหน่ายที่ไม่ได้มีรูปร่างดี ยิ่งทำให้คนไม่เชื่อว่าแบรนด์ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แม้ว่าตัวผู้บริหารเองจะมีชื่อเสียงและเคยออกรายการโทรทัศน์เล่าถึงชีวิตที่ประสบความสำเร็จจากการทำธุรกิจแบรนด์พรีมายา
สถานการณ์ล่าสุดจากกระแส #พรีมายา
แม้ว่าในวันที่ 19 สิงหาคม 2565 ทางเพจเฟซบุ๊กของแบรนด์พรีมายา
และเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2565 ทนายอัจฉริยะก็ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจไซเบอร์ เพื่อดำเนินคดีกับทางบริษัท พรีม่า มายา จำกัด หรือ พรีมายา ในข้อหาโฆษณาเกินจริง ด้วยเหตุนี้เองจึงนำไปสู่การเปิดโปงการใช้สารอันตรายในผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักของทางแบรนด์พรีมายาอีกด้วย
หลังจากนั้นวันที่ 18 มกราคม 2566 #พรีมายา กลายเป็นกระแสอีกครั้งหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกค้นบ้านของ เม พิชญ์นรี ตามหมายจับในฐานความผิด ทุจริตหรือหลอกลวง และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน แต่พบว่าเจ้าตัวไม่อยู่ในบ้านหลังดังกล่าวแล้ว ก่อนจะนำมาซึ่งการประกาศตั้งรางวัลนำจับ เม พรีมายา เงินรางวัล 500,000 บาท
ล่าสุดวันที่ 19 มกราคม 2566 ก็ได้มีแหล่งข่าวระบุว่า เม-พิชญ์รี ตันติวิทย์ เจ้าของแบรนด์พรีมายา เดินทางเข้าพบเจ้าพนักงานสอบสวน ณ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท) พร้อมกล่าวต่อสื่อมวลชนว่าตนไม่ได้มีเจตนาหลอกลวงใครทั้งสิ้น.