เปิดประวัติ ‘ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร’ หลังศาลสั่งฟ้องข้อหาคดีนายบิลลี่
ประวัติ ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้มีความเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของบิลลี่คดีดังในปี 2562 ปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง ผลคดีจบแล้วหรือไม่ เช็กได้เลยที่นี่
เปิดประวัติ ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ ผู้ตกเป็นข่าวดังตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน ในตอนนี้นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษรประกอบอาชีพอะไร ออกจากราชการไปหรือยัง และนายชัยวัฒน์เกี่ยวข้องอะไรกับคดีการหายตัวไปของบิลลี่ สามารถอ่านรายละเอียดประวัติได้ที่นี่เลยครับ
ประวัติ ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตผู้พิทักษ์ผืนป่า
นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หรือ อี่ เกิดเมื่อวันที่ 5 มกราคม ปี พ.ศ. 2507 ในปัจจุบันมีอายุ 58 ปี เดิมทีนายชัยวัฒน์เป็นชาวจังหวัดเพชรบุรี อำเภอท่ายาง
ทั้งนี้นายชัยวัฒน์ยังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระดับปริญญาตรีในสาขาการจัดการทรัพยากรป่าไม้ วิทยาศาสตรบัณฑิต และระดับปริญญาโทในสาขาการบริหารทรัพยากรป่าไม้ คณะวนศาสตร์ วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต
นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร เป็นอดีตหัวหน้ากรมอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี รวมทั้งอดีตหัวหน้าชุดพญาเสือ ตำแหน่งนักวิชาการป่าไม้ชำนาญการพิเศษในส่วนอนุรักษ์และป้องกันทรัพยากร สำนักบริหารพื้นอนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง)
นอกจากนี้ยังเคยรับถูกพระราชดำริให้รับผิดชอบโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพพื้นที่เขานางพันธุรัตน์ ในฐานะหัวหน้าวนอุทยานชะอำอีกด้วย
ปัจจุบันนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษรเป็นผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 10 จังหวัดอุดรธานี
เส้นทางการงานรับราชการของ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร
เมื่อปี พ.ศ. 2554 นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิขิตอักษรขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นข้าราชการ ในฐานะเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติก็ได้เข้ารื้อถอนและเผาทำลายทรัพย์สินของนายโคอิ หรือคออี้ มีมิ ผู้นำกะเหรี่ยงบางกลอย พร้อมบ้านเรือนของชาวกะเหรี่ยงบางกลอยเป็นจำนวนมากกว่า 100 ครอบครัว
ต่อมาได้เกิดการแจ้งความดำเนินคดีนายชัยวัฒน์และพรรคพวก นำโดยปู่คออี้จนศาลปกครองได้พิจารณาความผิดของนายชัยวัฒน์พร้อมพวก และถูกขับไล่ออกจากราชการเมื่อต้นปี 2565 หรือวันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้เอง
นายชัยวัฒน์กับคดีการหายตัวไปของบิลลี่
เป็นเวลากว่า 8 ปีแล้วที่นายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ นักต่อสู้สิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยง หลานชายของปู่คออี้แห่งกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในผืนป่าแก่งกระจาน ได้หายตัวไปอย่างไร้สาเหตุ
กระทั่งปี 2562 นายชัยวัฒน์ถูกออกหมายจับในฐานความผิดร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พร้อมนายบุญแทน บุษราคำ นายธนเสฏฐ์ หรือไพฑูรย์ แช่มเทศ และนายกฤษณพงษ์ จิตต์เทศ
นอกจากนี้ทั้ง 4 คนยังถูกตัดสินว่ามีความผิดทั้งหมด 6 ข้อ ได้แก่
- ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
- ข้อหาร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่น
- ข้อหาร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นทำให้ปราศจากเสรีภาพและเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
- ข้อหาร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต
- ข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
- ข้อหาร่วมกันอำพรางคดี กระทำการแก่ศพ เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงผลในทางคดี
บิลลี่ ได้หายตัวไปตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2557 โดยนายชัยวัฒน์ได้เล่าว่า เขาควบคุมตัวของบิลลี่ในข้อหาครอบครองน้ำผึ้งป่าอย่างผิดกฎหมาย และได้ปล่อยตัวบิลลี่ในวันเดียวกัน แต่ก็ไม่พบตัวของนายบิลลี่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเลย
เมื่อเวลาผ่านไปจนเดือนมิถุนายน 2561 คดีการหายตัวไปของบิลลี่ก็ถูกระบุว่าเป็นคดีพิเศษจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ
และในเดือนกรกฎาคม 2562 ได้พบหลักฐานชิ้นสำคัญคือ กระดูกกะโหลกของมนุษย์ในถังขนาดใหญ่บริเวณอ่างเก็บน้ำเขื่อนแก่งกระจาน ซึ่งมีดีเอ็นเอตรงกับนางโพเราะจี รักจงเจริญ ผู้เป็นแม่ของบิลลี่ ทำให้สามารถเชื่อได้ว่าบิลลี่ได้เสียชีวิตแล้ว
หลังจากคดีการหายตัวไปของบิลลี่ได้เปลี่ยนเป็นคดีฆาตกรรมก็ได้รับความนิยมจากประชาชนเป็นจำนวนมาก ทำให้นายชัยวัฒน์เริ่มเป็นที่รู้จักและน่าจับตามองเกี่ยวกับการรับผิดชอบคดีดังกล่าวในครั้งนั้นนี่เอง
ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปี กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอได้หาหลักฐานเพิ่มเติมทั้งพยานแวดล้อม บุคคล วัตถุ นิติวิทยาศาสตร์ จนกระทั่งในวันที่ 10 สิงหาคม 2565 นายชัยวัฒน์และพรรคพวกอีก 4 คนก็ได้ถูกสั่งฟ้องในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เป็นอย่างไรกันบ้างกับประวัติของชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หลายท่านที่ตามข่าวคดีของบิลลี่ตั้งแต่เมื่อปี 2562 คงจะรอลุ้นผลลัพธ์การฟ้องของศาลตั้งแต่ในครั้งนั้น จนวันนี้ก็เป็นที่น่ายินดีที่นายชัยวัฒน์ได้เตรียมตัวรับโทษตามกฎหมายกันแล้วนะครับ.
- ศาลออกหมายจับ ชัยวัฒน์และพวกหลายข้อหา คดีฆ่าบิลลี่ พอละจี.
- ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร เตรียมสาบานที่สะพานแขวนแก่งกระจาน ไม่เกี่ยวคดีบิลลี่.
- อัยการไม่ส่งฟ้อง คดีนายบิลลี่ ชี้หลักฐานไม่เพียงพอ.