อนุทิน ซัด หยุดกล่าวเท็จ ปมข่าว ไทยปฏิเสธซื้อวัคซีนไฟเซอร์ถึง 4 ครั้ง
อนุทิน สวนแรง หยุดกล่าวเท็จ ปมข่าว ไทยปฏิเสธซื้อวัคซีนไฟเซอร์ถึง 4 ครั้ง ยกแถลงผอ.สถานบันวัคซีนแห่งชาติ ชี้แจงข่าวไม่เป็นความจริง
ซื้อวัคซีนไฟเซอร์ – สืบเนื่องจากกระแสข่าวที่มีการเผยแพร่ในโลกออนไลน์ว่า บริษัทไฟเซอร์ ผูเ้ผลิตวัคซีนโควิด-19 เคยเสนอขายวัคซีนถึง 13 ล้านโดสให้ไทย พร้อมเงื่อนไข ใช้ก่อนจ่ายเงินทีหลัง แต่รัฐบาลได้ปฏิเสธไปถึง 4 ครั้ง
ล่าสุดนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมาตอบกระแสข่าวดังกล่าว ระบุว่า “หยุดกล่าวหาเท็จ หยุดให้ร้ายกระทรวงสาธารณสุข” โดยอ้างอิงข้อมูลการชี้แจงจาก ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ แถลงข่าวข้อมูลการปฏิเสธซื้อวัคซีนไฟเซอร์เป็นเท็จ
สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ได้ชี้แจงประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
ถาม : Pfizer เคยเสนอขายวัคซีนให้ไทย 13 ล้าน จริงหรือไม่
ตอบ : ตัวเลข 13 ล้านเป็นตัวเลขที่ไฟเซอร์ใช้ในการนำเสนอ Head Office เพื่อเตรียมการหารือกับรัฐบาล ไม่ใช้จำนวนที่เสนอขาย
ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวเกิดจากการกำหนดแผนที่รัฐบาลเคยตั้งว่าจะมีการจัดซื้อวัคซีนแบบ Bi-lateral agreement คิดเป็น 10% ของจำนวนประชากร หรือประมาณ 6.7 ล้านคน (คนละ 2 โดส รวม ประมาณ 13 ล้านโดส)
ถาม : ไม่ต้องใช้เงินซื้อ มีวัคซีนให้ใช้ก่อนค่อยจ่ายทีหลัง
ตอบ : ไม่จริง การจัดซื้อวัคซีนของไฟเซอร์ ต้องมีการวางเงินจองตามเงื่อนไขในสัญญา และไม่มีการจัดส่งวัคซีนให้ก่อนแต่อย่างไร
ถาม : ไฟเซอร์เสนอรัฐบาลไป 4 รอบ แต่ถูกปฏิเสธ
ตอบ : ไม่จริง ที่ผ่านมาไฟเซอร์ได้เข้านำเสนอข้อมูลผลการวิจัยในระยะต่างๆ รวมถึง ผลการใช้จริงในประเทศต่างๆ อยู่เป็นระยะ
รัฐบาลไม่เคยปฏิเสธการเข้าพบผู้แทนบริษัทฯ ที่ผ่านมาคุณลักษณะของวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์ ไบโอเอนเทค อาจมีข้อจำกัดเรื่องการขนส่ง จัดเก็บ และระยะเวลาส่งมอบ
แต่ด้วยการปรับปรุงให้สามารถจัดเก็บได้สะดวกขึ้น การขยายช่วงอายุผู้สามารถรับวัคซีนได้ในกลุ่มเด็กเล็กตั้งแต่ 16 ปี และอีกไม่นานในเด็กอายุ 12 รวมถึง ในอนาคต
อีกทั้งบริษัทฯ ได้มีการขยายกำลังการผลิตออกไป จึงทำให้ รัฐบาลให้ความสนใจ และได้เชิญผู้แทนบริษัทไฟเซอร์ในประเทศไทยเข้าหารือ ในวันที่ 22 เม.ย. ซึ่งผมร่วมเป็นประธานในครั้งแรก และได้ดำเนินการสั่งจองพร้อมเข้าสู่การพิจารณาร่างเอกสารต่างๆ เพื่อให้สามารถส่งมอบวัคซีนให้ได้เร็วที่สุด
ขอความกรุณาทุกท่าน หยุดแชร์ข้อมูลเท็จ และหยุดแสวงหาประโยชน์ทางการเมืองในสถานการณ์โรคระบาด และความเดือดร้อนของประชาชน ตลอดจนสร้างความเข้าใจผิดต่อกระทรวงสาธารณสุข และความสับสนแก่ประชาชน