เฌอเบลล์ เปิดใจ พักแพลน แต่งงาน ถอยออกมาคนละก้าว อนาคตยังไม่รู้ เพราะเราก็ยังมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน ย้ำ! ไม่มีเรื่องมือที่สาม
หลังจากที่นักแสดงสาว เฌอเบลล์ ลัลณ์ลลิน ได้เซอร์ไพรส์ด้วยการคุกเข่าขอแฟนหนุ่ม พีท ศักดิเดช แต่งงาน ไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ล่าสุดทางเฌอเบลล์ได้ออกมาเปิดใจกับสื่อมวลชนอีกครั้งว่า ความสัมพันธ์ตอนนี้ได้ถอยห่างกันคนละก้าว เนื่องจากสถานการณ์ด้านการงานต่างๆ เลยทำให้การพูดคุยเครียดและซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ จึงตัดสินใจเว้นระยะกันในช่วงที่ยังมีความรู้สึกดีๆ ให้แก่กันอยู่ ส่วนจะสามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมไหมนั้น เป็นเรื่องของอนาคต ต้องรอให้ทุกๆ อย่างลงตัวและดีขึ้น จากนั้นค่อยมาคุยกันอีกที
ตอนนี้หัวใจเป็นยังไงบ้าง ?
“เอ่อ… เราจะเริ่มต้นกันยังไงดี (ยิ้ม)”
เห็นว่าโสดแล้วใช่ไหม ?
“ตอนนี้สถานะก็… ยังไงดี ค่อนข้างซับซ้อนกันนิดหนึ่ง ด้วยโควิด ด้วยงาน มันก็เลยมีความตรึงเครียดกันทั้งสองฝ่าย เราก็เลยคุย ๆ กันว่า เราลองถอยมาคนละก้าว และโฟกัสงานก่อนไหม”
สาเหตุเป็นเพราะเราไม่มีเวลาให้กันเหรอ เลยทำให้ถอยออกมา ?
“ด้วยค่ะ และด้วยความเครียดด้วย เพราะช่วงนี้เหมือนเขาก็ทำงานเกี่ยวกับการท่องเที่ยว และการท่องเที่ยวก็กระทบหนัก วงการบันเทิงเราที่ไม่เคยจะโดนกระทบก็โดน และต่างคนต่างมีภาระกับตัวเอง มันหลายอย่างเวลาคุยกันมันอาจจะมีความเครียดที่มันซับซ้อนอยู่ตรงนั้นค่ะ”
จุดพักตรงนี้เราสบายใจไหม ?
“อยู่ตรงนี้เหมือนเราได้โฟกัสอะไรอย่างหนึ่งแล้วมันดีขึ้นค่ะ”
ยังไม่ใช้คำว่าเลิกใช่ไหม ?
“ใช้คำว่าถอยคนละก้าวก่อนค่ะ อนาคตเรายังไม่รู้ เพราะเราก็ยังมีความรู้สึกที่ดีต่อกันค่ะ”
รูปคู่นี่ซ่อนเอาไว้ หรือลบออกไปเลย ?
“ไม่ค่ะ ด้วยความที่เรามาโฟกัสที่งานก็มีการคุย และบอกเขาว่าไอจีของนักแสดงมันคือโปรไฟล์หน้าตาของการทำงาน ทีนี้มันก็จะมีผลกระทบนิดหน่อยที่เวลาลูกค้าเห็นรูปแล้วมันอาจจะไม่เหมาะกับสินค้าเขา เราเลยคุยกันว่าเราขอเอารูปออกนะ”
แล้วแพลนที่จะแต่งงานของเราคือต้องพักยาวไปก่อนใช่ไหม ?
“ก็พักไปก่อนจนกว่าอะไรเข้าที่เข้าทางแล้วเดี๋ยวคุยกันใหม่อีกทีค่ะ”
นานขนาดไหนแล้วที่เราห่างกันออกมา ?
“โห ก็สักพักแล้วค่ะ ตั้งแต่โควิดเริ่มมีปัญหา”
ช่วงต้นปีเหรอ เพราะเราคุกเข่าขอแต่งงานช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ?
“เอ่อ… ก็ไม่กี่เดือนนี้ค่ะ”
ยังพูดคุย ติดต่อกันอยู่ไหม ?
“ยังมีธุระประปรายที่ต้องคุย ต้องเคลียร์กันอยู่ ก็คุยปกติ มีทักทายกันว่าช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง ธุรกิจที่เขาทำอยู่เป็นยังไงบ้าง ก็มีถามกันค่ะ”
ไม่เกี่ยวกับการที่เราออกตัวแรงจนทำความสัมพันธ์ต้องชะงักใช่ไหม ?
“อันนั้นก็เป็นวัยของเราตอนเด็ก ๆ ด้วยความที่เรารักเราก็เต็มที่ ไม่ได้เสียใจจากจุดนี้เพราะเราก็ทำเต็มที่แล้ว แต่พอมันมาถึงจุดที่เราก็พยายามกันทั้งคู่ แต่ถ้าเกิดว่าตอนนี้มันฝืน มันก็คงจะแย่ งั้นเราต้องหยุดไว้ก่อน เอาที่เราต้องโฟกัสจริง ๆ ก่อน แล้วค่อยมาคุยกันอีกที”
ได้มีการเปิดใจคุยกันบ้างไหม ?
“มีค่ะ คือมันเป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้เราต้องโฟกัสสิ่งที่พาให้เรามีชีวิตรอดไปก่อน เพราะธุรกิจตอนนี้มันย่ำแย่มาก”
สำหรับตัวเราคิดว่ามีโอกาสจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม ?
“มันยังเป็นเรื่องของอนาคต ถ้าเกิดเรายังมีความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กัน มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้วค่ะ”
ตอนนี้เราไม่ได้เปิดรับใครเข้ามาเลยใช่ไหม ?
“เราก็ไม่ได้เปิด เราโฟกัสที่งานอยู่ค่ะ”
ทางครอบครัวทั้งสองฝ่ายว่ายังไง เพราะก่อนหน้านี้ได้มีการพูดคุยถึงเรื่องแต่งงานไปแล้ว ?
“คือผู้ใหญ่เขาให้เป็นเรื่องของเรา”
สภาพจิตใจตอนนี้เราโอเคไหม ?
“ก็โอเคอยู่”
ตอนนั้นที่คุยและตัดสินใจ มีร้องไห้บ้างไหม ?
“มันก็ต้องมี เพราะมันเป็นด้วยอารมณ์หลาย ๆ อย่าง มันมีหลากหลายอารมณ์ ณ ตอนนั้นมีเยอะอยู่เหมือนกัน เลยทำให้คิดว่าถ้าเรายังรู้สึกดีต่อกันก็ห่างแป๊บหนึ่ง ถ้าทุกอย่างมันดีขึ้น สถานการณ์มันดีขึ้น ค่อยกลับมาว่ากันใหม่ว่าจะอะไรยังไง”
ทุกวันนี้ยังคิดถึงเขาอยู่ไหม ?
“ก็คนที่อยู่ด้วยกันขนาดนี้ มันก็ต้องมีความผูกพัน มีทักทายกันปกติ”
เราได้มีข้อตกลงระหว่างกันไว้ไหม อย่างเช่นสามารถเปิดใจเรียนรู้ใครได้หรือเปล่า ?
“จริง ๆ เราไม่ได้กำหนดอะไรเลย เราไม่ได้ซีเรียสอะไร ด้วยความที่เราเข้าใจเรื่องการงานเป็นหลัก ต่างคนก็ต่างที่จะต้องมีครอบครัวดูแล มันก็ต้องสัมพันธ์เรื่องนี้ว่าเราต้องเอาครอบครัวของเราไปให้รอดในช่วงวิกฤตแบบนี้”
เราซีเรียสไหมที่คนมองว่าเราเปิดตัวแรง คุกเข่าขอแต่งงานครั้งนั้น ?
“จริง ๆ มันก็เป็นความผิดของเรา ด้วยความที่เรารัก พอเรารักเราก็เต็มที่ แต่เพราะวัยนั้นเรายังเด็กอาจจะไม่ได้คิดเยอะมากไป แต่เราก็ไม่ซีเรียส เพราะเราก็เต็มที่แล้วกับทุกอย่าง”
ไม่มีเรื่องมือที่สามมาเกี่ยวข้องเลยใช่ไหม ?
“ไม่มีค่ะ คือทั้งหนูทั้งเขาไม่ใช่คนที่เจ้าชู้กันอยู่แล้วค่ะ”
ที่มา : sanook