‘พิชัย’ จี้ ‘บิ๊กตู่’ เร่ง ปรับ ครม. ช่วยเศรษฐกิจ พร้อมบอกความจริง 9 ข้อ นายกควรรู้
‘พิชัย’ จี้ ‘บิ๊กตู่’ เร่ง ปรับ ครม. ช่วยเศรษฐกิจ พร้อมบอกความจริง 9 ข้อ นายกควรรู้
จากกรณี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมกลุ่ม 4 กุมาร นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ยื่นลาออกจากตำแหน่งวันนี้ ทำให้เกิดประเด็นร้อนว่าหากคนกลุ่มนี้ลาออกไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ใครจะมานั่งเก้าอี้ รมว. แทน และแผนเศรษฐกิจต่อไปของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นอย่างไรเมื่อทีมเศรษฐกิจพากันลาออก
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเห็นถึงเรื่องนี้และบอกความจริง 9 ข้อที่นายกรัฐมนตรีควรรู้ ว่า
ตามที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และ 4 กุมาร คือ นายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ และนายสุวิทย์ เมฆินทรีย์ ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง จึงเปิดโอกาสให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว. กลาโหม และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ได้ปรับ ครม. ดังนั้นจึงอยากเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์เร่งปรับ ครม. โดยต้องหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงและเป็นที่ยอมรับ อีกทั้งมีความเข้าใจระบบการเมืองไทยเข้ามารับตำแหน่งเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลงไปอีก
ถึงกระนั้นก็ยังมีโอกาสที่จะล้มเหลวสูงและอาจเสียคนได้ เหมือนที่นายสมคิดเสียคน จากปัญหาเศรษฐกิจที่สะสมมาตลอด 6 ปี แล้วยังมาเจอปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดจากโควิด-19 ซ้ำเติมให้หนักขึ้น อย่างไรก็ตาม การปรับ ครม. เศรษฐกิจครั้งนี้ ยังเท่ากับ พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับความล้มเหลวในการบริหารประเทศด้านเศรษฐกิจมาตลอด 6 ปี และครั้งนี้น่าจะสร้างความขัดแย้งกันอย่างหนักในพรรคพลังประชารัฐ จากแกนนำที่ผิดหวังจากตำแหน่งที่คาดหมาย และอาจนำไปสู่ปัญหาเสถียรภาพของรัฐบาลได้
ทั้งนี้ การที่พล.อ.ประยุทธ์เดินทางเข้าพบสื่อสำนักต่างๆ ทั้งที่ตลอด 6 ปีไม่เคยทำมาก่อน น่าจะเป็นเพราะทราบดีว่าความนิยมของตัวเองมีความเสื่อมถอยลงอย่างมาก ดังนั้นการเข้าพบสื่อสำนักต่าง ๆ นี้ พล.อ.ประยุทธ์น่าจะได้รับข้อมูลจริงที่สำคัญ 9 ข้อดังนี้
1. ความนิยมในตัว พล.อ.ประยุทธ์ เสื่อมถอยลงจริง เพราะตลอด 6 ปีที่ผ่านมารัฐบาลไม่มีผลงานให้ประชาชนจับต้องได้ เศรษฐกิจฝืดเคืองอย่างมาก ประกอบกับอยู่มานานเป็นปกติที่ประชาชนจะเบื่อหน่ายอยู่แล้ว ในสมัยพลเอกเปรมก็มีลักษณะคล้ายกัน ทั้งที่ในสมัยนั้น มีผลงานมากกว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์อย่างมาก แต่คนก็ยังเบื่อ ดังนั้น คนจะเบื่อพล.อ.ประยุทธ์มากกว่าหลายเท่า ขนาดพลเอกประยุทธ์ลงพื้นที่จังหวัดระยองคนยังไม่พอใจกันอย่างมาก รูปชายหนุ่ม 2 คนชูป้ายต่อว่า มีการกระจายกันในโซเชียลเป็นจำนวนมาก และเมื่อตำรวจไปจับก็ยิ่งเป็นประเด็นใหญ่
2. เศรษฐกิจไทยย่ำแย่อย่างมาก ประชาชนเดือดร้อนทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารที่ผิดพลาดตั้งแต่ก่อนมีการแพร่กระจายของโควิด-19 ทั้งนี้เพราะพล.อ.ประยุทธ์ไม่มีความรู้ความเข้าใจทางเศรษฐกิจเลย ขนาดนายสมคิดยังยอมรับเองว่าถอดใจมาหลายปีแล้ว น่าจะแสดงว่ารู้ตัวแล้วว่าบริหารเศรษฐกิจล้มเหลวมาตลอดแต่แก้ตัวแบบมั่ว ๆ เพื่อเอาตัวรอดไปในแต่ละปี พอมาเจอวิกฤตโควิด สถานการณ์เลยยิ่งทรุดหนัก
3. การปรับ ครม. ที่จะเกิดขึ้น จะเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่พล.อ.ประยุทธ์จะพิสูจน์ว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาประเทศได้หรือไม่ ถ้าหากประสบความล้มเหลวอีก ประชาชนคงไม่ให้โอกาสพล.อ.ประยุทธ์ในการบริหารประเทศอีกต่อไปแล้ว
4. ความผิดซ้ำซ้อน ตั้งแต่ครั้งแรกที่ปล่อยให้มีการแพร่ไวรัสที่สนามมวยที่เป็นต้นเหตุของการแพร่กระจายครั้งแรก ต้องล็อกดาวน์กัน ทำความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล และต่อมาก็ยังปล่อยให้มีการแพร่กระจายจากทหารอียิปต์ที่ใช้สิทธิพิเศษไม่ต้องกักตัว สิทธิพิเศษต้องหมดไปและต้องไม่มีการยกเว้น เพราะไวรัสไม่ยกเว้นใคร ทุกคนมีโอกาสติดกันได้หมด
5. การข่มขู่ว่าจะล็อกดาวน์ ปิดเมือง ทั้งที่เป็นความผิดพลาดของภาครัฐในการปล่อยให้เกิดการกระจายไวรัสของอภิสิทธิ์ชน จะยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชน และจะทำลายเศรษฐกิจให้ยิ่งย่อยยับได้ หลายคนถึงกับบอกว่าถ้าล็อกดาวน์อีกคงไม่มีการทำงานจากบ้าน (Work from Home) แล้ว เพราะคงไม่มีบ้านเหลือแล้ว ถ้าไม่ต้องขายบ้านก็คงถูกยึดบ้านแน่ เพราะคงไม่มีเงินจ่ายค่าบ้านแล้ว
6. เศรษฐกิจไทยจะฟื้นได้ยากมากเพราะไทยขาดการลงทุนภาคเอกชนมาตลอด 6 ปี และรัฐบาลไม่สามารถสร้างความมั่นใจได้ ดังนั้นจะพึ่งอะไร การท่องเที่ยวปีหน้าก็คงยังไม่ฟื้น การส่งออกก็ลดลงมาจากการลงทุนที่ลดลง อุตสาหกรรมที่ล้าสมัย และเศรษฐกิจโลกที่ย่ำแย่ การบริโภคของประชาชนก็ลดลงตามรายได้ที่ลดลง แถมการใช้จ่ายภาครัฐยังสะเปะสะปะเหมือนการจัดงบประมาณปี 64 และการใช้เงิน 4 แสนล้าน ที่ไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจจริง ต้องใช้เวลา 2-3 ปี ถึงจะกลับมาสู่ที่เก่าได้ แต่เป็นเศรษฐกิจเดิมย่ำแย่อยู่แล้ว ประเทศไทยจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร
7. ความไม่พอใจของนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ที่มีต่อรัฐบาลจะทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังจากแฟลชม็อบต้องเว้นไปหลังเกิดโควิด ซึ่งอาจจะนำมาสู่การแสดงออกถึงความไม่พอใจครั้งใหญ่ในไม่ช้า และจะมีแนวร่วมจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจและคนตกงาน 8-10 ล้านคน ซึ่งรัฐบาลจะต้องหาทางแก้ไข การคง พรก. ฉุกเฉิน ไม่ได้แก้ปัญหาแต่กลับจะยิ่งทำให้ปัญหาเพิ่มขึ้นในอนาคตโดยเฉพาะปัญหาทางเศรษฐกิจ
8. การหาจุดสมดุลระหว่างการป้องกันการระบาดไวรัสและการดำเนินการทางเศรษฐกิจ ในระยะแรกที่เรายังไม่รู้ลักษณะของไวรัสและการระบาด อาจจะมีความจำเป็นต้องล็อกดาวน์ แต่ในตอนนี้มีข้อมูลของไวรัสและการระบาดค่อนข้างละเอียดแล้ว การส่งเสริมเศรษฐกิจเป็นเรื่องจำเป็นที่สุดภายใต้ข้อจำกัดที่ต้องควบคุมการระบาดด้วย ทั้งนี้เพราะปัญหาเศรษฐกิจจะเป็นเรื่องใหญ่และอาจจะฆ่าประชาชนในจำนวนที่มากกว่าไวรัสมาก หากรัฐบาลไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจได้ และจะมีคนตกงานกันหลายล้านคนตามที่คาดกัน
9. อย่าหลงเชื่อ คนเอาใจ สื่อเอียงข้าง หรือโพลที่ออกมาอวย โดยไม่ได้ดูความเป็นจริงว่าสถานการณ์เศรษฐกิจ การเมือง และ สังคมของประเทศได้ทรุดโทรม เสื่อมถอยลงมากขนาดไหน ถ้ายังจะเข้าข้างตัวเองโดยไม่ลืมหูลืมตา สถานการณ์จะยิ่งแย่ลงไปอีก
ความจริงทั้ง 9 ข้อนี้น่าจะเป็นข้อมูลที่ถูกต้องที่ พล.อ.ประยุทธ์ควรต้องพบสื่อมวลชน หากพล.อ.ประยุทธ์เลือกจะฟังเฉพาะเรื่องที่ตัวเองอยากฟังเท่านั้น หรือไปเพื่อจะขอให้สื่อช่วยเชียร์ตัวเอง สื่อเองคงไม่สามารถเชียร์สวนกับความเป็นจริงและสวนความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อสภาวะย่ำแย่อย่างหนักที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ โดยพล.อ.ประยุทธ์ควรนำไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไข พร้อมไปกับการปรับ ครม. ครั้งนี้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะสายเกินไปแล้วหรือไม่ เพราะความล้มเหลวอาจจะเกินเยียวยาแล้ว
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1928440730619628&id=174738095989909&__tn__=-R
ที่มา Pichai Naripthaphan