ไวรัสโคโรน่า: เตรียมบังคับใช้กฎหมายหลังมีผู้ปกปิดประวัติการเดินทาง
ไวรัสโคโรน่า โควิด (โควิด-19) 26 ก.พ. : เตรียมบังคับใช้กฎหมายหลังมีผู้ปกปิดประวัติการเดินทาง
กระทรวงสาธารณสุข เผยผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หายเป็นปกติ กลับบ้านได้อีก 2 ราย พบผู้ป่วยรายใหม่กลับจากเที่ยวญี่ปุ่น นำมาติดคนในครอบครัว เตรียมบังคับใช้กฎหมายหลังพบผู้ปกปิดประวัติการเดินทาง
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า วันนี้มีข่าวดีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้เพิ่มอีก 2 ราย เป็นหญิงไทยอายุ 35 ปี จากสถาบันบำราศนราดูร และชายจีนอายุ 62 ปี จากสถาบันโรคทรวงอก ซึ่งทั้ง 2 รายเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยยืนยัน
วันนี้ได้รับรายงาน ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการทั้ง 2 แห่ง(กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) พบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่ม 3 รายมาจากครอบครัวเดียวกัน รายที่ 1 เป็นชายไทยอายุ 65 ปี เดินทางไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2563 ด้วยอาการ ไข้ ไอ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการเป็นบวก ส่งตัวรักษาต่อสถาบันโรคทรวงอก รายที่ 2 เป็นหญิงไทยอายุ 62 ปี (เป็นภรรยา ติดเชื้อมาจากประเทศญี่ปุ่น) และรายที่ 3 เด็กชายไทยอายุ 8 ปี (เป็นหลาน) ซึ่งเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยรายที่ 1 รักษาที่สถาบันบำราศนราดูร โดยขณะนี้ติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดที่มีความเสี่ยงสูงได้ทุกราย ส่วนผู้ร่วมเดินทางอยู่ระหว่างการติดตามตัวมาตรวจรักษา
ขอยืนยันว่า ขณะนี้ประเทศไทยยังอยู่ในระยะที่ 2 ยังไม่เกิดการระบาดในประเทศ ไม่มีผู้ป่วย Super Spreader มีผู้ป่วยยืนยันที่รักษาหายแล้ว 24 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 16 ราย รวมยอดผู้ป่วยสะสม 40 รายจำแนกเป็นผู้ป่วยติดเชื้อจากต่างประเทศ(Index case)หรือผู้ป่วยรายแรกๆในระบบรายงานจำนวน 26 ราย และผู้ป่วยในกลุ่มสัมผัสใกล้ชิด (High Risk contact) จำนวน 14 ราย
กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นโรคติดต่ออันตราย ใช้เป็นเครื่องมือคุ้มครองประชาชนและสังคม เพื่อให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจตามกฎหมาย ทำให้ตรวจพบได้เร็วขึ้น เช่น ผู้ป่วยรายใหม่และครอบครัว ที่ค้นพบหลังกลับจากเที่ยวประเทศญี่ปุ่น เตรียมบังคับใช้กฎหมายหลังพบผู้ปกปิดประวัติการเดินทาง และสั่งไม่ให้ผู้มีความเสี่ยงเข้าเมือง เช่น การส่งกลับผู้เดินทาง 2 ราย ที่มาจาก Diamond princess ทั้งนี้ เพื่อควบคุมการระบาด ด้วยมาตรการขั้นสูงสุด หลังพบผู้ป่วยที่กลับจากญี่ปุ่น
ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขได้เข้มมาตรการคัดกรองผู้เข้าเกณฑ์เฝ้าระวัง ทั้งขยายประเทศเสี่ยง พื้นที่เสี่ยง และกลุ่มเป้าหมาย นอกจากนี้ยังได้ขยายการตรวจทางห้องปฏิบัติการไปยังศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั้ง 13 แห่ง โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลประจำจังหวัดทั่วประเทศ สำหรับส่วนกลาง สามารถตรวจได้ที่ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล โรงพยาบาลรามาธิบดี และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงพยาบาลราชวิถี สถาบันบำราศนราดูร และโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
ขอความร่วมมือประชาชน งดเที่ยวงดเดินทางไปยังพื้นที่ระบาดของโรคต่อเนื่อง หากจำเป็นต้องไป ขอให้ระมัดระวังตัว หมั่นล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย หากกลับมาให้เฝ้าระวังสังเกตอาการตัวเองเป็นเวลา 14 วัน หากมีไข้ ไอ ให้รีบพบแพทย์พร้อมแจ้งประวัติการเดินทาง อย่ากลัวที่จะบอกหมอว่าเดินทางมาจากประเทศเสี่ยง จะเป็นผลดีต่อผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยรักษาโรคได้รวดเร็ว ในส่วนของประชาชนทั่วไปขออย่าให้รังเกียจผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพราะจะส่งผลเสียให้คนไข้ไม่ไปหาหมอ หรือไปหาหมอช้า ไม่ยอมป้องกันตนเองเพราะกลัวถูกรังเกียจจากสังคม ป้องกันการเกิด Super Spreader และติดตามข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น อย่าแชร์ข้อมูลที่หาที่มาไม่ได้ หากมีข้อสงสัยโทรสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422
สถานการณ์ไวรัสโคโรน่า ถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563 ณ เวลา 08.00 น.
1. ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 16 ราย กลับบ้านแล้ว 24 ราย คิดเป็นร้อยละ 60 ของผู้ป่วยในประเทศไทย รวมสะสม 40 ราย
2. ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม – 25 กุมภาพันธ์ 2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 1,798 ราย คัดกรองจากทุกด่าน 72 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 1,726 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 1,247 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 551 ราย
3. สถานการณ์ทั่วโลกใน 38 ประเทศ ข้อมูลตั้งแต่ 5 มกราคม – 26 กุมภาพันธ์ 2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจำนวน 80,427 ราย เสียชีวิต 2,712 ราย ส่วนประเทศจีนพบผู้ป่วย 77,666 ราย เสียชีวิต 2,664 ราย