บันเทิง

ฟ้าใส เปิดใจ ชีวิตหลังประกวดนางงาม ไม่สนดราม่า แคร์คนที่ควรจะแคร์

ฟ้าใส เปิดใจ ชีวิตหลังประกวดนางงาม ไม่สนดราม่า แคร์คนที่ควรจะแคร์

หลังจบการประกวดเวทีนางงาม ก็ดูเหมือนว่าสาวฟ้าใส ปวีณสุดา ดรูอิ้น มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 จะหายหน้าหายตาไปเลย แถมก่อนหน้านี้ยังมีเรื่องดราม่าอีก ล่าสุดเจ้าตัวก็ได้ออกมาเปิดใจ ถึงชีวิตหลังการประกวดว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง และสาเหตุที่ไม่ค่อยออกงาน

ตอนนี้ชีวิตเป็นยังไงบ้าง?

ก็เปลี่ยนแปลงไปเหมือนกันนะคะ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าเหมือนได้ทำฝันเต็มที่แล้วค่ะ แล้วก็ดีใจที่คนไทยเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของ journey ของฟ้าใสด้วย แล้วก็ดีใจที่ทำให้ทุกคนภูมิใจในตัวฟ้าใสค่ะ

งานเป็นยังไงบ้าง?

ตอนนี้งานเข้ามาเรื่อยๆ ค่ะ มีออกอีเวนต์แล้วก็มีแคสติ้งบ้าง ก็อยากจะฝากติดตามผลงานเร็วๆ นี้ด้วยค่ะ ตอนนี้ขออุบเอาไว้ก่อน เดี๋ยวพอทุกอย่างคอนเฟิร์มแล้ว เดี๋ยวจะโพสต์ ก็มีหลากหลายแนวค่ะ

เราอยากทำอะไรเป็นพิเศษไหม?

จริงๆ ถ้าเกิดมีโอกาสก็อยากทำหลายอาชีพนะคะ ไม่ว่าจะเป็นด้านวงการบันเทิง หรือว่าจะเป็นด้านของการเป็นครู เป็นคนติวเรื่อง Q&A หรือมิตรภาพ หรือการพรีเซนต์ตัวเอง

หลายคนคิดถึง เพราะเราไม่ค่อยออกสื่อเลย?

ใช่ ส่วนใหญ่จะเป็นงานแบบไพรเวทมากกว่าค่ะ เป็นงานปิด แฟนคลับก็จะติดตามค่อนข้างยาก แต่ว่าเวลาที่มีงานเปิด ฟ้าใสก็จะโพสต์

คนก็ตีความว่านางงามรุ่นพี่กลับมาออกงานอีเวนต์นับไม่ถ้วน แต่เราไม่ออกเลย ทำไมเงียบจัง?

มันมีช่วงที่พักตาด้วยค่ะ ที่ถอดคอนแท็กเลนส์ไม่ได้ เป็นตั้งแต่ตอนมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์แล้ว พอไปประกวดที่แอตแลนตามันก็เป็นเหมือนกัน กลับมาก็เลยพักเต็มที่ก่อนที่จะลุยงานต่อไป

กลัวเสียโอกาสไหม กลับมาไม่ได้ทำงานเลย กระแสจะแผ่วไป?

ไม่ หนูก็ไม่ได้มองว่าหนูจะอยู่ในกระแสแค่ช่วงนั้นช่วงเดียว แต่หนูเชื่อว่าแฟนคลับของหนูน่ารักมากๆ เขาจะติดตามผลงานของหนู ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนหรือว่าเมื่อไหร่ค่ะ

เรามองเรื่องชีวิตวงการบันเทิงไว้ยังไงบ้าง?

ชีวิตในวงการบันเทิง มีโอกาสเข้ามามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านการถ่ายนิตยสาร เดินแบบทั้งในและนอกประเทศ ละครก็มีติดต่อเข้ามาค่ะ ตามไปแคสติ้ง หรือว่าโฆษณาต่างๆ เราก็ดีใจมากๆ

เราซีเรียสไหมกับการที่คนเอาเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น?

ไม่ซีเรียสค่ะ เพราะว่าการอยู่ในวงการแบบนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในอาชีพอะไรก็จะมีการเปรียบเทียบอยู่แล้ว

คนมองว่ากระแสนางงาม มาเร็วไปเร็ว เรามองว่ายังไงบ้าง?

จริงๆ ก็เข้าใจ เพราะความเป็นนางงาม มันจะมีแค่ช่วงอายุเวลา 1 ปี ในการที่เราดำรงตำแหน่ง แต่มีคนบอกไว้ว่าตำแหน่งจะอยู่กับเราไม่นาน แต่ตำนานจะอยู่กับเราตลอดไปค่ะ

ต้องวางแผนยังไงบ้างกับชีวิตของเราในวงการบันเทิง?

ก็มองว่าเราสามารถทำหน้าที่การเป็นนางงามได้แค่ 1 ปี แต่นอกเหนือจากนี้ เราก็มีโอกาสไปในวงการบันเทิง หรือว่าวงการอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นทางหน้าจอหรือเบื้องหลังได้เพียบค่ะ ก็ต้องไปในด้านอื่นบ้าง

เราก็สนใจงานในวงการบันเทิงใช่ไหม?

ก็ด้วยค่ะ แต่ว่าก็สนใจอยากเป็นเบื้องหลังด้วย แบบเวลาที่เทรนรุ่นน้องต่อไป ก็สนใจด้านนี้เหมือนกัน

ช่วงปีนี้เราต้องทำอะไรกับกองประกวดอีกไหม?

ก็คิดว่าน่าจะมีนะคะ แต่ว่าจริงๆ ก็มีรุ่นน้องที่ตั้งใจจะมาประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2020 ที่มีติดต่อเข้ามา ว่าอยากจะให้ช่วยสอนเรื่องการตอบคำถามได้ไหม อะไรแบบนี้

ถ้ามีงานเข้ามา ต้องผ่านกองประกวดก่อนไหม?

ในด้านของเบื้องหน้าก็ต้องติดต่อผ่านกองก่อนค่ะ แต่ถ้าเกิดเบื้องหลังอย่างเช่นการเป็นครู ก็สามารถติดต่อโดยตรงได้เลยค่ะ

ที่บอกว่าอยากเทรนน้องๆ เราได้คุยกับพี่ลูกเกดไว้อย่างไรบ้าง?

คือพี่เกดจะเทรนระหว่างที่เก็บตัว แต่นี่คือรุ่นน้องที่อยากจะมาออดิชั่น อยากจะมาประกวด แล้วก็ไม่มั่นใจในเรื่องของการตอบคำถาม อยากจะให้มีคนช่วยเทรน เขาก็ติดต่อโดยตรงมา ว่าอยากจะพัฒนาด้านนี้ แล้วก็ด้านอื่นๆ ในการพรีเซนต์ตัวเอง ก็เลยติดต่อโดยตรงมา ว่าฟ้าใสมีอะไรแนะนำหรือว่าสามารถสอนได้ไหม เป็นโค้ชก็ได้

เราเป็นติวเตอร์เหรอ?

ใช่ค่ะ หนเป็นเมนเทอร์ แต่เป็นคนละแบบกับพี่ลูกเกดค่ะ ของพี่เขาจะเป็นแบบเจาะลึก สำหรับคนที่เข้ารอบเรียบร้อยแล้ว แต่ของหนู สิ่งที่หนูจะสอน มันสามารถเอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน หรือว่าในการเป็นนางงามต่อไปก็ได้ค่ะ

มีเข้ามาติดต่อเยอะไหม?

ก็มีเข้ามาเรื่อยๆ ค่ะ ตอนนี้ก็กำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะเปิดเป็นคอร์สดีไหม เดี๋ยวต้องดูอีกทีค่ะ

ช่วงสิ้นปีมีดราม่าเกิดขึ้น ได้เห็นแท็กตัวเองไหม?

หนูเห็นแท็ก แต่ไม่เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องอะไร

มีทีมงานที่ทำชุดให้เรา พูดพาดพิงถึงเรา?

เรื่องนี้หนูยังไม่ทราบเลยค่ะ ยังไม่ได้คุยด้านดราม่าเท่าไหร่ อันนี้คือหลังจากประกวดเสร็จใช่ไหมคะ ก่อนที่ประกวดมีโอกาสได้พูดคุยกับทุกคน ทุกคนเขาก็เข้ามาช่วยในการเตรียมตัวไปมิสยูนิเวิร์ส พอหลังจากประกวดทุกคนก็แยกไปพักผ่อนเต็มที่

หลายคนพุ่งเป้าไปที่ พี่โจ้ Surfac?

เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ

มีปัญหากันอยู่หรือเปล่า เพราะอีกฝ่ายเหมือนมีการโพสต์ถึง จนแฟนนางงามต้องออกมาปกป้องเรา อย่าไปสนใจคำพูดใคร?

อ๋อ แต่เท่าที่อ่าน ยังไม่ได้มีคำพูดที่ชัดเจนเกี่ยวกับหนู หนูก็เลยไม่ได้เข้าไปอ่านรายละเอียดมากค่ะ

แล้วความสัมพันธ์กับ พี่โจ้ Surfac เป็นยังไงบ้างตอนนี้?

ก็โอเคนะคะ พี่เขาก็ช่วยในการทำเรื่องชุดราตรีที่ไปประกวดรอบไฟนอลให้ด้วยค่ะ

พอประกวดเสร็จได้กลับมาเจอหรือพูดคุยอะไรกับพี่เขาไหม?

ยังไม่มีโอกาสได้เจอกัน เหมือนพี่โจ้เขาก็พักผ่อนด้วย ติดช่วงปีใหม่ด้วย และได้ข่าวว่าช่วงนี้พี่เขาก็มีการเตรียมตัวสำหรับปี 2020 ด้วยค่ะ เพราะอยากจะให้มง 3 มาแน่ สำหรับคนต่อไป

การประกวดจบไปแล้ว แต่ยังคงมีคนพูดถึงเราทั้งทางด้านที่ดีและไม่ดี รู้สึกยังไงบ้าง?

หนูมองว่าไม่ว่าจะพูดดีหรือไม่ดี ก็เป็นกระแสในระดับหนึ่งนะคะ แต่ก็ดีใจที่ทุกคนยังคิดถึงและยังพูดถึงฟ้าใสอยู่ ต้องขอบคุณทุกคนที่คอยติดตาม ถึงแม้ว่าการประกวดจะจบลงไปแล้ว แต่ก็ยังคงคอยสนับสนุนและคอยดูผลงานอยู่

ดราม่าต่างๆ ที่เข้ามา มันทำให้เราเครียดไหม?

ช่วงนี้ก็ไม่ได้สังเกตว่ามีดราม่า คือหนูคิดว่าดราม่าต่างๆ จะมาช่วงที่ไปประกวดนะคะ ถ้าในช่วงที่เรากำลังประกวดอยู่หนูจะไม่เข้าไปดูเรื่องกระแสหรือดราม่าอะไร เพราะช่วงประกวดสิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือการซัพพอร์ต การสนับสนุน และพลังงานที่บวก ซึ่งเราจะได้จากกลุ่มที่อยู่ใกล้ๆ เรา และกลุ่มที่ติดตามและรู้จักเราจริงๆ ส่วนใหญ่หนูก็จะดูกลุ่มนี้เวลาที่ไปประกวด แต่หลังจากผ่านการประกวดไปแล้ว หนูได้อ่านก็รู้สึกว่า มันดูตลกบ้าง เพราะบางทีคนที่บอกว่าเป็นวงในก็ไม่ใช่วงในจริงๆ เพราะคนที่เป็นวงในจริงๆ ก็จะมีแค่เรากับเขาที่รู้จริงว่าเรื่องนี้เกิดอะไรขึ้น แต่พอได้อ่านแล้วมันก็บันเทิงดีนะคะ

แสดงว่าทุกวันนี้เรามีภูมิคุ้มกันแล้ว?

โอ้โห หนูประกวดมาหลายปีแล้วค่ะ

เรียกว่าชินได้ไหม?

หนูว่าครั้งแรกมันจะเจ็บสุดนะพี่ แต่พอนานๆ เข้าความเจ็บมันก็จะลดน้อยลง แต่ถ้าถามว่าชินไปทีเดียวแบบไม่รู้สึกอะไรเลยไหม หนูคิดว่าไม่มีใครที่อ่านข่าวแล้วมันจะไม่รู้สึกอะไร

ที่บอกว่าครั้งแรกเจ็บสุด มันถึงขั้นมีน้ำตาไหม?

โห หนูถึงขั้นเสียเซลฟ์ไปเลย ทำไมเขาว่าหนูแบบนี้ ก่อนหน้านี้หนูไม่เคยคิดว่าหนูเป็นแบบนี้เลย มันก็เป็นเรื่องรูปร่างหน้าตาหรือหุ่นอะไรแบบนี้ ครั้งแรกในที่นี้หมายถึงครั้งแรกที่ว่าเรา แต่การว่าเรามันจะมีหลากหลายแบบ ที่เจ็บสุดมันไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เราเสียเซลฟ์นะ แต่สิ่งที่เจ็บสุดคือสิ่งที่เขาพูดแล้วมันไม่ได้เป็นความจริง แต่คนอื่นเชื่อโดยที่ไม่ได้มาถามเรา ไม่ว่าเราจะพูดอะไรออกไป เขาจะเชื่อสิ่งแรกที่เป็นเรื่องเท็จไปแล้ว เขาจะคิดว่าเราก็แค่แก้ตัวแค่นั้น เลยทำให้รู้สึกว่าทำไมคุณไม่ให้โอกาสเราออกมาพูดความจริง ทำไมคุณฟังความข้างเดียว

ตอนนี้เลยชินและแข็งแรงไปแล้ว?

มันมีกำแพงที่ตั้งไว้เพื่อปกป้องหัวใจมากขึ้น และเราก็เริ่มรู้สึกว่าเราควรจะแคร์คนที่รู้จักเราจริงๆ มากกว่าคนที่ไม่ได้รู้จักเราแล้วพูดอะไรก็ได้ ตอนนี้ก็แข็งแรงขึ้นค่ะ ก็อยากให้ก่อนที่จะพูดอะไรให้ใช้สตินิดหนึ่ง อยากให้ฟังความทั้งสองข้างมากกว่าค่ะ

ภาพจาก: IG@paweensuda

P. Wanutch

อัพเดททุกความบันเทิง ทั้งไทย ต่างประเทศ K-pop รีวิวหนัง เพลง คอนเสิร์ต พร้อมนำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจและหลากหลาย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

Back to top button